วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พรสวรรค์และพรแสวง



Photo Cube Generator

     ...ในระบบโหราศาสตร์ทุกระบบ...ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ไทยหรือ...โหราศาสตร์สากล...จะมีองค์
ประกอบที่สำคัญอยู่ ๓ ประการก็คือ...

๑.จักรราศี
๒.ดาวพระเคราะห์
๓.เรือนชาตา

     ...ส่วนประกอบทั้ง ๓ ประการนี้ี...จะมีความหมายและหลักในการใช้เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบใด...แต่ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ระบบนั้น...บางระบบอาจจะสนใจเฉพาะการผสมกันระหว่าง...
ดาวพระเคราะห์กับเรือนชาตาหรือ...ดาวพระเคราะห์กับดาวพระเคราะห์...ส่วนระบบยูเรเนียนบางระบบ
สนใจเฉพาะการผสมกันของเรือนชาตากับดาวพระเคราะห์...เหมือนกับโหราศาสตร์ไทยทั่วๆไป...แต่ก็
มีบางระบบที่ใช้การผสมรวมกันทั้ง...จักรราศี...ดาวพระเคราะห์...และเรือนชาตา...ทั้งหมดเลย...

   ...วิชาโหราศาสตร์นี้เป็นทั้ง"ศาสตร์"และ"ศิลป์"ซึ่งรวมอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ออก...มิใช่ว่าการเรียนรู้
โหราศาสตร์จนจบทฤษฎีแล้วนั้น...จะสามารถทำนายทายทักผู้คนได้อย่างแม่นยำและเฉียบขาด...เพราะ
ความหมายของดวงดาว...เรือนชาตา...จักรราศี...มีความลึกซึ้งเกินกว่าที่ทุกคนจะเรียนรู้ได้แตกฉาน...
ได้ในเวลาอันสั้นๆ...เพียงไม่กี่วัน...ไม่กี่เดือน...หรือว่าเป็นปี...ทุกคนจะต้องมีความเข้าใจก่อนเป็นพื้นฐาน...และที่สำคัญคนที่จะทายดวงชาตา...อนาคตได้แม่นยำนั้น...ต้องมีสิ่งหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้คือต้องมี "ญาณ"...หยั่งรู้ที่มีมาแต่กำเนิดด้วย...

   ...โหราจารย์แต่โบราณสามารถทายอนาคตได้อย่างแม่นยำ...น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก...เช่นท่านโหรญาณได้เคยทายกับเพื่อนโหรด้วยกันว่า"ขุดลงไปตรงนี้...จะมีปลาอยู่ ๔ ตัว"ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้แต่พอ
ขุดลงไปจริงๆกับปรากฏว่ามีปลา ๔ ตัวอยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆในดินตรงนั้นจริง...? อีกท่านหนึ่งคือ...ท่านขุน
ชอบ...ปรมาจารย์วิชา ๑๐ ลัคนา...ท่านพูดกลับคนสนิทว่า"วันนี้มีเคราะห์...คิดว่าจะไม่ออกไปข้างนอก"
กล่าวจบท่านก็เดินขึ้นบันไดไปบนบ้าน...ปรากฏว่ากระดานผุ...ทำให้ร่างของท่านล่วงลงมา ๒ ขั้นบันได...บาดเจ็บเล็กน้อย...ท่านก็บ่นพึมพำขึ้นมาว่า"ขนาดรู้ว่ามีเคราะห์ อยู่บ้านแท้ๆยังโดนจนได้นะนี่"

   ...อ.พลูหลวงเคยเล่าในบทความท่านว่า...มีเพื่อนโหรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ อ.สังข์ [ถ้าผมจำไม่ผิดนะ]
ทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำกล่าวคือ...อ.สังข์มาที่บ้าน อ. พลูหลวงมองไปที่ตู้โชว์มีกล้องถ่ายรูปวางอยู่ ๑ ตัวแต่ท่านกลับกล่าวขึ้นมาว่า"ต่อไปในอนาคต...คุณจะมีกล้องทั้งหมด ๙ ตัว..."ในตอนนั้นท่าน...
อ.พลูหลวงก็ได้แต่นึกแปลกใจเท่านั้นเอง...แต่กาลต่อมาอีกหลายปี อ.สังข์ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วท่าน
ก็มีกล้องถ่ายรูปอยู่ในตู้โชว์ ๙ ตัวจริงตามคำทำนายของ อ.สังข์...จริงทั้งหมด...

   ...ผู้ศึกษาโหราศาสตร์ที่ไม่มี...ญาณพิเศษ...ก็ไม่ต้องตกใจนัก...เพราะญาณก็คือ"พรสวรรค์"ส่วนความขยันก็คือ"พรแสวง"นั่นเอง...ในเมื่อเราไม่มี...พรสวรรค์...เราก็ต้องยึดมั่นในบทวิชาต่างๆเรียนรู้
และซ่อมแซมส่วนที่ขาดตกบกพร่องของเรา...เช่นพยายามรวบรวมสิถิติ...แสวงหาตำราจาก อ.ต่างๆ
ที่ทรงคุณวุฒิฯมาเสริมให้รัดกุมขึ้นมาอีก...การที่คนเราจะเรียนวิชาโหราศาสตร์ในตำราต่างๆซึ่งแตกต่าง
สำนักกันไม่ใช่เรื่องต้องห้าม...วิชาโหราศาสตร์จาก อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้นล้วนมาจากรากฐานเดียวกันทั้งสิ้น...เพียงแต่แตกต่างออกไปจากกันบ้าง...แต่ยังคงไม่ทิ้งของเดิมที่ได้ศึกษากันมาแต่แรกเริ่ม...
   
   ...เปรียบเทียบกับวิชาของเสียวลิ้มยี่ซึ่งเป็นวิชาหลักๆมาตราฐาน...แต่ก็มี อ.หลายๆท่านออกไปตั้งสำนักใหม่ขึ้นมา และคิดค้นวิชาประจำสำนักขึ้นมาใหม่...แต่ก็แตกขยายมาจากพื้นฐานเดิมทั้งสิ้น...เช่นท่านเตียซำฮง...ปรมาจารย์บู๊ตึ๊งก็มาจากเสียวลิ้มยี่...ท่านก๊วยเซียงปรมาจารย์ง่อไบ๊ก็มาจากรากฐาน...
ของเสียวลิ้มยี่เช่นกัน...หากเรียนรู้วิชาต่างๆได้ครบสิ้นเวลาออกรบ...ก็สามารถใช้ได้ทั้ง...มีด...ดาบ...
หอก...ธนู...ปืนฯลฯแล้วแต่จะหยิบฉวยอะไรได้ก่อน...ดังนั้นเวลาดูดวงชาตาผู้คน...สามารถหยิบฉวย
วิชาของ อ.ต่างๆมาใช้ได้ทันท่วงทีไม่มีการอับจนอย่างเด็ดขาด...

   ...สรุปได้ว่า...ในเมื่อเราไม่มี...พรสวรรค์...เราก็ต้องขวนขวายให้มี...พรแสวง...ให้จงได้...แต่ถ้าผู้ใด
มีทั้ง...พรสวรรค์และพรแสวง...ทั้ง ๒ อย่าง...จัดเป็นสุดยอดโหราจารย์ในทางโหราศาสตร์อย่างแท้จริง
คือมีทั้ง ๓ ภาคของโหราศาสคร์ครบถ้วนคือ...
๑.ภาคคำนวณ
๒.ภาคพยากรณ์
๓.ภาคพิธีกรรม
...ท่าน อ.โหรที่สมบูรณ์เพียบพร้อมจน ท่าน อ.ส.ไชยนันท์ได้ตั้งฉายาชื่อว่า"วิญญาณโหราศาสตร์"
...โหราจารย์ท่านนั้นก็คือ...อ.พลูหลวง...ผู้ล่วงลับไปแล้ว...นั่นเอง...และท่าน อ.ส.ไชยนันท์ย่อมเป็น
วิญญาณโหราศาสตร์ด้วยเช่นกัน...เปรียบดัง...พระอรหันต์ด้วยกัน...ย่อมรู้วาระจิตซึ่งกันและกัน...
...เป็นเช่นนี้อย่างแน่แท้...แล้วพบกันใหม่...สวัสดีครับ...



วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บุหรี่นั้นสำคัญไฉน?



               ...จากบทความของบิดาข้าพเจ้า...พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม...เรื่องมีดังต่อไปนี้...

...ในอดีตกาลที่ผ่านมา...หลังจากที่่ได้มาเรียนต่อที่จังหวัดพระนครในสมัยโน้น...บ้านที่มาอาศัยเรียนหนังสือตอนนั้นเป็นบ้านของท่านเจ้าคุณฯ...ซึ่งคุณหญิงของท่านมีศักดิ์เป็นญาติผู้ใหญ่ของผม...
ตอนนั้นผมมีอายุได้เพียง ๑๗ ปี...มีผู้คนอยู่ในบ้านหลังนี้หลายคนมีลูกมีหลาน มีคนใช้ คนขับรถ แม่ครัว...กะดูประมาณ ๒๐ คนเศษ...ข้อสำคัญก็คือผู้คนในบ้านนี้ส่วนมากสูบบุหรี่แทบทุกคน...เพราะทุกๆมุม...ของบ้านนี้มีแต่บุหรี่วางไว้เกะกะ...ใส่กล่องก็มี...บรรยากาศของบ้านนี้อบอวลไปด้วยควันบุหรี่...เหตุที่บ้านนี้ฟุ่มเฟือยไปด้วยบุหรี่ก็เนื่องจากท่านเจ้าคุณฯ บ้านนี้ท่านเป็นเจ้าของโรงงานยาสูบในสมัยนั้นเองฉะนั้นบุหรี่ตราต่างๆจึงได้ส่งทะยอยมาที่บ้านตามธรรมเนียม...

...สรุปแล้วผมก็เลยต้องสูบบุหรี่ไปด้วยโดยทางปริยายเพราะเป็นการสูบที่ไม่เสียเงินเลย...และจากนั้น
เอง...การสูบบุหรี่นี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปอย่างเรียบร้อย...โดยไม่มีทางแก้ไข้ได้เลย...ในระหว่างอยู่ ร.ร.นายร้อยก็สูบได้โดยไม่มีใครว่า...การสูบบุหรี่จำเริญรุ่งเรืองไปเป็นลำดับ...
ไม่มีการทรุดโทรมแต่อย่างใร...มีแต่วันที่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ...ออกจาก ร.ร.นายร้อยเป็นร้อยตรี...ก็มี
เงินใช้อยู่แล้ว...จึงสูบต่อไปด้วยความสม่ำเสมอ...จากหนึ่งซองบางวันถึง ๓ ซองก็ยังได้...สงคราม...
โลกครั้งที่สองเลิกแล้ว...แต่ผมก็ยังไม่เลิกบุหรี่...ครับ...จาก ร.ต.ต.จนถึงพล.ต.ต....กี่ปีแล้ว...บวก
ไปบวกมาก็ได้ ๓๐ กว่าปีแล้ว...

...ตับไตไส้พุงปอดหัวใจ...เครื่องในทั้งหลายในร่างกายผมเคลือบไปด้วยควันบุหรี่เข้าไปอบเป็นการ...
เรียบร้อยสมบูรณ์แบบ...โรคต่างๆ ติดตามกันมาเป็นขบวน...โรคหวัดที่เป็นไม่รู้หาย...โรคที่คอ...โรค
เกี่ยวกับตาฯลฯ อัดอยู่ในร่างกายหนาคืบยาว ๑ วาผมอย่างเพียบพร้อม...โดยเฉพาะเรื่องเสลดนี้แก้ไม่
หายเลย...เสลดเป็นของประจำตัวมาโดยตลอด...มีโอกาสที่จะได้ขากทั้งวันไม่เคยหมด...ผมมานั่งคิด
ดูว่า...เสมหะหรือเสลดนี้ถ้าหากเอามาเก็บรวบรวมไว้ตั้งแต่ได้เคยถ่มออกจากปากมาจนบัดนี้...คงจะ
เก็บไว้ได้หลายแท็งค์น้ำเก็บน้ำฝนอย่างแน่นอน...เรื่องเสลดหรือเสมหะนี้เป็นเมือกข้นชนิดหนึ่งออก
มาจากลำคอหรือลำไส้โดยการขับมาจากเยื่อบุของปอด...ซึ่งได้เกิดความระคายเคืองขึ้น...เป็นความ
รู้ที่ได้จากหมอเขาบอกมา...โดยเฉพาะบุหรี่เป็นต้นเหตุในเรื่องนี้...

...สรุปแล้วผมสูบบุหรี่มาอย่างโชกโชนนั่นแหละ...เคยคิดอยากจะเลิก...อยากจะหยุด...แต่เจ้าตัว...
มิจฉาทิฐิหรืทิฐิมานะยังแข็งกล้าอยู่โดยคิดว่าไม่เป็นไรๆอยู่ตลอดเวลา...จนกระทั่งวันหนึ่ง...จำได้
อย่างแม่นยำว่าเป็นวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๑๙ ผมมีเรื่องที่จะต้องไปเป็นกรรมการสอบสวนกับรอง
ปลัดกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น...ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกรณีพิพาทที่ดินที่จังหวัดพิษณุโลก...
ระหว่างนั่งซักพยานอยู่นั้นเอง...ก็เกิดการไอและจามขึ้นอย่างกระทันหัน...ผมขออนุญาตท่านประธาน
กรรมการออกมานอกห้อง...การจามและการไอก็ยังไม่ทุเลา...น้ำมูกไหล...น้ำตาไหล...บางครั้งขณะไอนั้นถึงกับหายใจไม่ออก...เพราะจะต้องอั้นลมหายใจไว้...

...เจ็บบริเวณคอและที่ท้องอย่างรุนแรง...เข้าใจว่าประมาณ ๕ นาทีเศษ...ได้มีผู้เอายาเม็ดแก้ไอกับน้ำร้อนมาให้รับทาน ซึ่งทำให้การไอและจามนั้นค่อยทุเลาไปได้ครู่หนึ่ง...หลังจากนั้นการสอบสวนซึ่งได้
สอบพยานเรียบร้อยแล้วเสร็จพอดี...ผมเลยถือโอกาสลากลับมากองบัญชาการสอบสวนกลางทันที...
เพราะรู้สึกเพลียมากเหมือนกัน...





...ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องทำงานที่กองบัญชาการสอบสวนกลางนั้นเองผมได้มานั่งคิดดูว่า...เหตุที่เกิดการไอและจามอย่างรุนแรงนั้นก็เพราะบุหรี่นี่เป็นต้นเหตุ...ถึงคราวแล้วที่จะเลิก...ในความรู้สึกนั้นเอง
ก็บอกว่า..เลิกเสียเถิด...เลิกเสีย...ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวของเรา...ครับ ผมตกลงใจอย่างเด็ดขาดเลิกเสีย...ผมเอาบุหรี่ที่เหลือแจกพวกตำรวจในที่ทำงานทันที...เมื่อกลับมาถึงบ้านก็บอกแม่บ้านว่าได้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเลิกบุหรี่แล้ว...เหตุการณ์ต่อมาหลังจากรับประทานอาหารแล้วตามปกติจะต้องสูบแต่ผมไม่สูบ...ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้...พออยากจะสูบจริงๆ...ก็คิดทันทีถึงวันที่ไอและจามอย่างรุนแรงในวันนั้น...พอคิดขึ้นมาทีไรความอยากสูบก็หายไปอย่างกับปลิดทิ้ง...ผมก็ปฏิบัติเช่นนี้มาเรื่อยๆ
เพื่อนฝูงสิงห์อมควันทั้งหลายพากันตื่นเต้นและแปลกใจเป็นที่สุด...ไม่เชื่อว่าผมจะเลิกบุหรี่ได้อย่างเด็ดขาด...เพราะตามสิถิติที่มีมาแล้วปรากฏว่าบางคนเลิกสูบมาได้หลายเดือนแล้ว...กลับหวนมาสูบอีกก็มี...เพื่อนฝูงของผมคงจะเป็นแบบนั้นกระมัง...แต่สำหรับผมนั้นเป็นที่น่ายินดีว่า...ผมเลิกสูบอย่าง
เด็ดขาดแล้วจริงๆ...

...ผมมานั่งคิดดูว่าถ้าหากผมไม่ได้ไปเป็นกรรมการสอบสวนที่กระทรวงมหาดไทยในวันนั้นแล้ว...
จะมีเหตุการณ์ใดให้ผมได้เลิกบุหรี่หรือเปล่าผมก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน...ก็นับว่าเป็นกรรมดีอันหนึ่ง
ที่จะมากระทบให้ผมต้องเลิกบุหรี่...กรรมนั้นก็ลิขิตให้เป็นไปได้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปสอบสวนที่กระทรวงมหาดไทยในวันนั้นก็ตาม...ก็อาจจะมีเหตุอื่นๆ เกิดขึ้นแทนก็ได้...ผมคิดถึงเรื่องกรรมที่จะ
บันดาลให้เป็นไปมากกว่า...เรียกว่าผมก็ยังมีกุศลผลบุญกับเขาอยู่บ้าง...แต่ว่าอย่างไรก็ตามร่องรอย
ของคราบควันบุหรี่ก็ยังฝังอยู่ในร่างกายของผมอีกเป็นจำนวนไม่น้อย...ซึ่งต่อไปผมจะได้เล่าให้ฟังว่า
มันได้ไปเกิดผลอย่างไรขึ้นกับตัวผมบ้างในภายหลัง...

...เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งในอีกหลายๆเรื่องซึ่งผมคัดลอกมาจากหนังสือชื่อว่า...
"เพียงตำรวจคนหนึ่งเท่านั้นเอง"ของ พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคมซึ่งเป็นบิดาของผม...ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่สนุกและน่าอ่าน...และผมจะนำมาเสนออีกในคราวต่อไปครับ...




วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รวมพระคาถาต่างๆ



   พระคาถาเหล่านี้เป็นพระคาถาที่ข้าพเจ้าได้ใช้ภาวนาสวดมนต์อยู่เป็นประจำ...ได้รวบรวมมาจากพระคาถาโบราณต่างๆ
บางบทก็เป็นพระคาถาประจำตระกูลของบรรดา มิตรสหายของข้าพเจ้า...จึงได้รวบรวมมาไว้ให้ทุกคนจะได้เอาไว้สวดมนต์
ภาวนา ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ...

                                    พระคาถาพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์
นะโม ๓ จบ...

                        ตังเมสะทิโก   มังสุเรโส   อะปะนา   ปะสุสุปิ
                                    อะทะสิติ   ปุวิสิเว   กุโกกะโค   นะมามิหัง  [ภาวนา ๓ จบ ]

                                     พระคาถาพระพุทธเจ้า ๑๖ พระองค์

                        นะมะนะอะ   นอกอนะกะ   กอออนออะ   นะอะกะอัง
                                    อุมิอะมิ   มะหิสุตัง   สุนะพุทธัง   อะสุนะอะ  [ภาวนา ๓ จบ ]

                                      พระคาถาอาวุธพระพุทธเจ้า

                        อายันตุโภณโต   อิธะทานะ   เนกขัมมะปัญญา   สะหะวิริยะขันติ
                                    สัจจาธิฏฐานะ   สะเมตตะเปกขา   ยุทธายะโว   คัณหะถะ   อาวุธานิติ

                                      พระคาถาอัญเชิญพระพุทธเจ้า

                                    นะโมเตพุทธวีรัตถุ   วิปปะมุตโตสิ   สัพพะธิ
                                    สัมพาธปฏิปัณโณสะมิ   ตัสสะเมสะระณังภะวะ  [ ภาวนา ๓ จบ ]

                                       พระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า

                                    อิติปิโส   วิเสเสอิ   อิเสเส   พุทธะนาเมอิ
                                    อิเมนะ   พุทธะตังโสอิ   อิโสตัง   พุทธะปิติอิ
                                         ตะโจ   พระพุทธเจ้า   จงมาเป็นหนัง
                                         มังสัง   พระธรรมเจ้า   จงมาเป็นเนื้อ
                                         อัฐิ        พระสงฆ์เจ้า   จงมาเป็นกระดูก
                                    ตรีเพชรคงคง อิสวาสุ   จักรวาสุอิ
                                    สุสวาอิ   พุทธะปิติอิ  [ ภาวนา ๓ จบ ] 

                                       พระคาถามงกุฏเพชรพระพุทธเจ้า

                        อิฏโฐสัพพัญญุตะญานัง     อิฏฉันโตอาสะวะขะยัง
                                    อิฏฐังธัมมังอะนุปปัตโต      อิฏฐิมันตังนะมามิหัง  [ภาวนา ๓ จบ ]

                                       พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศพระพุทธเจ้า

                        อิติปาริมิตาตึงสา   อิติสัพพัญญูมาคะตา   อิติโพธิมะนุปปัตโต   อิติปิโสจะเตนะโม
                                    โสธายะ   โอมอะมะระนิ   ชีวันติเย   มะอะอุ   อุอะมะ   อะมะอุ   สิวังพรหมา   สวาหะ   สวาโหม  [ภาวนา ๓ จบ ]

                                       พระคาถาสัมพุทเธ หงษา

                                    สัมพุทเธอัฏฐะวีสัญจะ   พุทโธเมอัมหากังปาการัง   ทะวาทะสัญจะสะหัสสะเก
                                                                               ธัมโมเมอัมหากังปาการัง    ปัญจะสะตะสะหัสสานิ
                                                                               สังโฆเมอัมหากังปาการัง    นะมามิสิระสาอะหัง
                                   สัพเพพุทธาชะนาจิตตัง  เตสังธัมมัญจะสังฆัญจะ
                                   สัพเพธัมมาชะนาจิตตัง   อาทะเรนะนะมามิหัง
                                   สัพเพสังฆาชะนาจิตตัง   นะมะการานุภาเวนะ
                                   มะอะอุหันตะวา   สัพเพอุปัททะเว   อุอะมะ   อเนกาอันตะรายาปิ
                                   นะโมพุทธายะ   วินาสสันตุ   อะเสสะโต   ยะธาพุทโมนะ [ภาวนา ๓ จบ ]

                                   พระคาถาบูชาพระแม่ธรณี

                        ตัสสาเกษีสะโต   ยะถาคงคา   โสตังปะวัตตันติ   มาระเสนา 
                                    ปติฏฐาตุง   อะสักโกนโต   ปะลายิงสุ   ปรินามะนุภาเวนะ   มาระเสนา
                                    ปะราชิตา   ทิโสทิสัง   ปะลายันติ   วิทังเสติ   อะเสสะโต  [ ภาวนา ๓ จบ ]

                                    พระคาถาธรณีสาร

                                     สีโรเมพุทธเทวัญจะ   นะลาเต   พรหมาเทวตา   หะทะยัง   นารายะ
                                     กัญเจวะ   ทะเวหัตเถ   จะปะระเมสุรา   ปาเทวิษณุกัญเจวะ
                                     สัพพะก้มมา   ประสิทธิเม  [ภาวนา ๓ จบ ]

                                  พระคาถาท้าวจตุบาลทั้ง ๔ ตน
                         นะจตุรัสภูตานัง   เอหิมาเรโส   นะโมพุทธายะ   นะมะพะธะ   ภูติทั้ง ๔ ตน   รักษาตนตัวกู
                                   อยู่หรือมิอยู่   อยู่คะ   มานิมา   อาคัจฉายะ   อาคัจฉาหิ   คนหนึ่งชื่อเ็พ็ชรทน   คนหนึ่งชื่อเพ็ชรทาน
                                   คนหนึ่งชื่อเพชรปราบ   คนหนึ่งชื่อเพชรปราม   ถามอยู่คง   นะเพ็ชรคง   โมเพ็ชรคง   พุทธเพ็ชรคง
                                   ธาเพ็ชรคง   ยะเพ็ชรคง   คงทั้งเนื้อ   คงทั้งหนัง   คงทั้งนั่ง   คงทั้งนอน   คงทั้งยืน   คงทั้งหลับ
                                   คงทั้งตื่น   คงทั้งกลางคืน   คงทั้งกลางวัน   คงสรรพสาระพันนานา   อิระชาคะตะระสา   อาปามะจุปะ
                                   เรหะ   กัณหะเณหะ   นะผูก   โมมัด   พุทรัด   ธากรึง   ยะกรึงอิติ   กรึงฟ้า   กรึงดิน   กรึงสมุทร สายสิญจ์
                                   กรึงสวาหะ   กายะพันธะนัง   คงคะ   อติฉามิ  [ภาวนา ๓ จบ ] 

                                  พระคาถามนต์จินดามณี  [ล.ป.ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ]

                                   จินดามณี   สะหะโกติ   สัตตัง   เทวานัง   มะนุษย์สะเทวานัง   อะมะนุษย์สะเทวานัง   สะมะณีจิตตัง
                                   บุตรีจิตตัง   อาคัจฉาหิ   ปะริเทวันติ   ปิยังมะมะ   มะณีจินดา   ปัญจะทานัง   ทาสาโกมัง   ทาสีโกมัง
                                   ปิสันทัสสะ   นะมามิหัง   สัพเพชะนา   พะหูชะนา   มหาจินดา   เอหิพุทธัง   ปิยินทริยัง   เทวะมนุษย์สานัง
                                   ปิโยนาคะ   สุปัณนานัง   ปิยินทริยัง   นะมามิหัง   พุทโธโสภะคะวา   ธัมโมโสภะคะวา   สังโฆโสภะคะวา
                                   อินทัสเสน่หา   พรหมะเสน่หา   อิตถีเสน่หา   ราชาเทวี   มะณีรักขัง   ปิยังมะมะ   พุทธสังมิ   นะชาลีติ
                                   พระอะระหัง   สัพพะลาภัง   ประสิทธิเม  [ภาวนา ๓ จบ ]

                                 พระคาถามหาจินดามนต์  [ อิติปิโส สวดถอยหลัง ]

                                   ติวาคะภะโธพุทนังสา   นุสมะวะเทถาสัตถิระ   สามะทัมสะริปุโร   ตะนุสอะทูวิกะโลโตคะ
                                   สุโนปันสัมนะระจะชาวิชโธพุทสัมมา   สัมหังระอะวาคะภะโสปิติอิ  [ภาวนา ๓ จบ ]

                                   พระคาถามหามนต์จินดา [ล.พ. โพรงโพธิ,ล.พ.เงิน บางคลาน ]

                                    จิตตะกัง  จิตตะโร   มาจิตตังมะมะ   จิตติสุหิ   จิตติมานิมานิมา   อิสัพเพชะนา    ก็มาจิตติ   อิติพะหูชะนา
                                    อิมะนุสสาก็มา   แห่งใจมนุษย์ก็มา   สิตะอิทะอิทัง   ไตรอุสุ   พระราชา   วิหลุดสุดยอด   สอดอินทราชัย
                                    พุทธาครารอด   สอดพระพุทธา   สุขังหิรัญญังวา   อาคัจฉายะ   อาคัจฉาหิ [ภาวนา ๓ จบ]

                                  พระคาถากำกับยันต์ตรีนิสิเห

                        มะอะอุ   ตรีนิสิงเห   สะธะวิปิปะสะอุ   สัตตะนาเค   อาปามะจุปะ   ปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ   นะมะพะธะ
                                   จะตุเทวา   อิสวาสุ   สุสวาอิ   ฉะวัจฉะราชา   ฑีฆะสังอังขุ   ปัญจะอินทรา   นะเมวะจะมิ   เอกะยักขา
                                    อะสังวิสุโลปุสะพุภะ   นะวะเทวา   สะหะชะฏะตรี   ปัญจะพรัหมาสะหัมปะติ   พุทโธ   ทะเวราชา
                                    เสพุเสวะ   เสตะอะเส   อัฏฐะ   อะระหันตา   นะโมพุทธายะ [ ภาวนา ๓ จบ ]

...พระคาถายังมีอีกมาก...แล้วค่อยเรียบเรียงเพิ่มเติมในโอกาสต่อไปนะครับ...
...อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม...

                                     

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ธรรมปู่สอน



        ...ธรรมะของหลวงปู่ลึกซึ้งหาได้ยาก...หากเรารู้จักที่จะน้อมมาดูตัวเราก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง...
         ...ดังที่ท่านเคยสอนไว้ว่า...

                                  ...ตอน พึ่งรู้ว่ากูโง่...
                              
                                          ...สำคัญที่สุดคือทบทวนพฤติกรรมของเราเอง...
                                            ...ถ้าย้งเลือกทำสิ่งที่ตัวเองชอบ พอใจ ยินดี...
                                             ...ไม่สามารถยอมรับความไม่ยินดี ไม่พอใจ...
                                ...เราตั้งเงื่อนไขไว้ก่อนปฏิบัติ ไม่ทำตัวเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า...
                                                   ...ไม่ระวังกาย วาจา ใจ ของเราเอง...
                                       ...เราควรเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงจากตัวเราเอง...
                                      ...ไม่ใช่ไปเรียกร้องจากผู้อื่น สังสารวัฏเป็นอย่างนี้...
                               ...มีทั้งความพอใจไม่พอใจ มีมืดมีสว่าง มีขาวมีดำ มีสูงมีต่ำ...
                                                 ...เมื่อเห็นสิ่งหนึ่งก็เห็นอีกสิ่งหนึ่ง...
                                  ...แต่พวกเราไม่ทำความเข้าใจกับความเป็นปกติอันนั้น...

                                           ...รอแค่เวลา...

                                             ...คนเราเมื่อถึงจุดเปลี่ยนมันจะเปลี่ยนเลย...
                                                  ...แต่กว่าคนจะถึงจุดเปลี่ยนนั้นได้...
                                  ...แต่ละคนมีอุปสรรค มีทางเดินของตนเองไม่เหมือนกัน...
                                                           ...ต่างวาระต่างกรรม...
                                                   ...อดทนซักนิดไม่ว่าเรื่องอะไร...
                                                        ...มองเป็นเรื่องธรรมดา...
                                           ...เช่น เราให้อภัยคนอื่น แต่เขาไม่ยอมจบ...
                                    ...เราต้องอดทน พอถึงบทจะเปลี่ยนมันก็เปลี่ยนเอง...
                                                ...บางครั้ง เงื่อนไขมันยังไม่สุกงอม...
                                                          ...รอแค่เวลาเท่านั้น...

                                        ...กิเลสตัวเอง...

                                          ...เริ่มต้นให้เห็นกิเลสตัวเองเข้าใจตัวเอง...
                                                   ...รู้ว่าเรายังมีกิเลสตัวไหน...
                                   ...บางคนบอกว่ารู้ทุกอย่าง ธรรมะเราอ่านมาเยอะ...
                                              ...แต่ทำไมเรายังเพ่งโทษคนอื่นอยู่...
                                               ...อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้...
                          ...อยากให้เขาคิดเหมือนเรา เห็นว่าเราดีกว่าเขา อัตตาเต็มตัว...
                                         ...เมื่อจิตขาดความเป็นกลางก็มองไม่เห็น...
                                               ...คนมีสติจึงจะได้เห็นกิเลสชัดขึ้น...
                                  ...เมื่อเห็นแล้วก็หัดฝืนจิตตัวเอง ทีเรื่องอื่นยังดัดจริตได้...
                                    ...แล้วทำไมไม่รู้จักดัดจริตของตนเพื่อฝืนกิเลสบ้าง...

                                       ...การปล่อยวาง...

                                   ...เมื่อถึงวันหนึ่งเวลาหนึ่ง เราจำเป็นจะต้องปล่อยวาง...
                                                                ...ละวางหน้าที่เหล่านั้นทั้งหมดเสีย...
                                   ...เหตุผลคือ ไม่ว่าเราทำมากเท่าไร ก็ไม่พออยู่นั่นเอง...
                                                                         ...เพราะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย...
                                                             ...ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ภพและชาติ...
                                                                       ...หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่จบสิ้น...

                                           ...สิ่งที่เป็นเหล่านี้ ไม่ว่าทำดีมากกว่านี้ น้อยกว่านี้...
                                                                            ...สุดท้ายมันก็ยังไม่พออยู่ดี...
                                                                            ...คือเรายังเติมเต็มมันไม่ได้...
                                                                     ...ทำอย่างไรถึงจะเติมเต็มมันได้...
                                                      ...คือการค้นหาแนวทางที่เที่ยงแท้แน่นอน...

                                      ...ทำอย่างไรถึงจะละ ปลดหน้าที่เหล่านั้นได้ทั้งหมด...
                                   ...อย่ารับผิดชอบหน้าที่อื่นๆมากกว่าหน้าที่ของเราเอง...
                                       ...ต่อให้เราทำหน้าที่อื่นๆได้ดีเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์...

                                                         ...เพราะหน้าที่ทั้งหมดเกิดขึ้นจากตัวเรา...
                                                           ...เราเป็นคนสร้างหน้าที่เหล่านั้นขึ้นมา...
                                   ...หากแต่เราไม่เคยรับผิดชอบชีวิตของเราเลยสักครั้ง...

                        ...หน้าที่ของมนุษย์คือการละวางหน้าที่ทั้งปวงออกเสียให้ได้...
                                    ...เห็นไหมพอเริ่ม จะปลดออก วางออก ก็ยังทำไม่ได้...
                                                        ...ยังเห็นว่าอันนั้นสำคัญ อันนี้สำคัญกว่า...
                                                                 ...หากคือว่าสิ่งที่เราทำหรือปฏิบัติ...
                                                             ...เป็นการเรียนรู้เป็นการศึกษาไม่ผิด...
                  ...แต่ถ้าทำมากเกินไปกลายเป็นไม่มีขอบเขต ทำแล้วไม่จบสักที...
                                   ...เราต้องวางกรอบของวิถีชีวิต คำนึงว่ามันไม่ยืดยาว...

                                      ...เหมือนดั่งที่พระพุทธเจ้าเคยถามพระอานนท์ว่า...
                                       "ดูก่อน...อานนท์ เธอคิดถึงความตายวันละกี่ครั้ง?"
                                                 ...พระอานนท์ตอบพระพุทธเจ้าว่า...
                                "คิดถึงความตายวันละประมาณ ๗ ครั้งพระพุทธเจ้าข้า"
                                                        ...พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า...
        "อานนท์...ห่างเกินไป ตถาคตนี่คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"
                                      
                                               ...โลกทั้งโลกเราแก้อะไรไม่ได้หรอก...
                                                     ...แก้แล้วก็มีทุกข์ใหม่เกิดอยู่ดี...
                                         ...ไม่ทุกข์กาย ก็ทุกข์ใจอยู่อย่างนั้นไม่จบสิ้น...
                                                      ...เติมกายให้อิ่ม ใจก็พร่องอยู่...
                                                      ...เติมใจให้อิ่ม กายก็พร่องอยู่...

                                               ...วิธีการที่ดีที่สุด ไม่ใช่เติมหรือไม่เติม...
                                        ...พระพุทธเจ้าใช้คำว่า"สัมมา" ความเป็นกลาง...
                           ...เดินอยู่ในทางสายกลาง ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป...

...ธรรมปู่สอนยังมีอีกไม่หมดสิ้น...คงจะพบกันอีกได้ในบทความต่อไป...

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

มงคลชีวิต ๓๘ ประการ



Photo Decorator
คำคม คงไม่มีคำคมใดที่มีคุณค่าไปกว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า... 
ที่มีเทวดามาถามคำถามว่า... 
"คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญ" อันเป็นที่มาของ "มงคลชีวิต 38 ประการ" 
ที่ใครปฏิบัติตามย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต...

                                                      มงคลที่ 1.ไม่คบคนพาล
อย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่ว
จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย
แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย
เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน

มงคลที่ 2.การคบบัณฑิต

     ควรคบหา  บัณฑิต  เป็นมิตรไว้
    จะช่วยให้ พ้นทุกข์ สบสุขสันต์
 ความคิดดี เลิศล้ำ  ยิ่งสำคัญ
ควรคบกัน อย่าเขว ทุกเวลา

 มงคลที่ 3.การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
ควรบูชา ไตรรัตน์ ขัตติเยศร์
ผู้วิเศษ ก่อเกื้อ เหนือเกศา
ครูอาจารย์ เจดีย์ ที่สักการ์
  ด้วยบุปผา ปฏิบัติ สวัสดิ์การ

มงคลที่ 4.การอยู่ในถิ่นอันสมควร
เป็นเมืองกรุง ทุ่งนา หรือป่าใหญ่
ทางมา-ไป ครบครัน ธัญญาหาร
มีคนดี ที่ศึกษา พยาบาล
ปลอดภัยพาล ควรอยู่กิน ถิ่นนั้นแล

มงคลที่ 5.เคยทำบุญมาก่อน
กุศลบุญ คุณล้ำ เคยทำไว้
  จะส่งให้ สวยเด่น เช่นดวงแข
ทั้งทรัพย์ยศ ไมตรี มีเย็นแด
       เพราะกระแส บุญเลิศ ประเสริฐนัก

มงคลที่ 6 การตั้งตนชอบ
ต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูก
เร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลัก
เมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รัก
ควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา

มงคลที่ 7 ความเป็นพหูสูต
การสนใจ ใฝ่คว้า หาความรู้
ให้เป็นผู้ แก่เรียน เพียรศึกษา
มีศีลดี สติมั่น เกิดปัญญา
ย่อมนำพา ตัวรอด เป็นยอดดี

มงคลที่ 8 การรอบรู้ในศิลปะ
ศิลปะ ต่างอย่าง ทางอาชีพ
ควรเร่งรีบ เรียนรู้ ชูศักดิ์ศรี
มีบางคน จนอับ กลับมั่งมี
ฉลาดดี มีศิลป์ หากินพอ

มงคลที่ 9 มีวินัยที่ดี
อันวินัย นำระเบียบ สู่เรียบร้อย
คนใหญ่น้อย เปรมปรีดิ์ ดีนักหนา
วินัยสร้าง กระจ่างข้อ ก่อศรัทธา
เพราะรักษา กติกา พาร่วมมือ

ไม่พูดเท็จ พูดสอดเสียด และพูดมาก
ละความยาก สร้างวิบาก ฝากยึดถือ
คนหมู่มาก มักถางถาก ปากข่าวลือ
ต้องสัตย์ซื่อ ถือวินัย ใช้ร่วมกัน

มงคลที่ 10 กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
เปล่งวจี สัจจะ นวลละม่อม
กล่าวเลลี้ยกล่อม ไพเราะ กาลเหมาะสม
เจือประโยชน์ เมตตา ค่านิยม
รื่นอารมณ์ ผู้ฟัง ดังเสียงทอง

มงคลที่ 11 การบำรุงบิดามารดา
คนที่หา ได้ยาก มากไฉน
เพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสอง
คือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้อง
ตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง

มงคลที่ 12 การสงเคราะห์บุตร
เป็นมารดา บิดา ทำหน้าที่
ให้บุตรมี พำนัก เป็นหลักแหล่ง
ส่งเสริมบุตร ธิดาตน กุศลแรง
ย่อมส่องแสง เพิ่มพูน ตระกูลวงศ

มงคลที่ 13.การสงเคราะห์ภรรยา
มีคู่ครอง ต้องไม่ทำ ให้ช้ำจิต
จะพาผิด ไปข้าง ทงผุยผง
ต้องสงเคราะห์ แก่กัน ให้มั่นคง
รักยืนยง ด้วยกัน ถึงวันตาย

มงคลที่ 14.ทำงานไม่คั่งค้าง
ะทำงาน การใด ตั้งใจมั่น
อย่าผัดวัน ทำเล่น เช้า เย็น สาย
ไม่ทิ้งคา อากูล มากมูลมาย
เร่งคลี่คลาย ให้เสร็จ สำเร็จการ

มงคลที่ 15.การให้ทาน
ควรบำเพ็ญ ซึ่งทาน คือการให้
ท่านว่าไว้ สวยงาม สามสถาน
หนึ่งให้ของ สองธรรมะ ขนะมาร
อภัยทาน ที่สาม งามเหลือเกิน

มงคลที่ 16.การประพฤติธรรม
การประพฤติ ตามธรรม คำพระสอน
ไม่เดือดร้อน ถอนทุกข์ ยามฉุกเฉิน
คนรักธรรม ธรรมรักษ์คน ผลเจริญ
นั่ง,ยืน,เดิน นอน,สุข ทุกข์ไม่มี

มงคลที่ 17.การสงเคราะห์ญาติ
เมื่อยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้อง
ควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนี
เขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดี
หากถึงที เราจน ญาติสนใจ

มงคลที่ 18 ทำงานไม่มีโทษ
งานรับจ้าง ล้างชาม ก็ตามเถิด
หากไม่เกิด โทษทัณฑ์ นั่นสดใส
เมื่อได้ช่อง ต้องจำ กระทำไป
ได้กำไร ทุกทาง ไม่ว่างงาน

มงคลที่ 19 ละเว้นจากบาป
กรรมชั่วช้า ลามก ต้องยกเว้น
หากขืนเล่น ด้วยกัน ถูกมันผลาญ
งดเว้นบาป กำราบให้ ไกลสันดาน
ในดวงมาลย์ ไม่ร้อน และอ่อนเพลีย

มงคลที่ 20 สำรวมจากการดื่มน้ำเม
ของมึนเมา ทุกชนิด พิษคล้ายเหล้า
ใครเสพเข้า น่าตำหนิ สติเสีย
เกิดโรคร้าย แรงร้อน กายอ่อนเพลีย
ใครงดเสีย เป็นสุข ไปทุกวัน

มงคลที่ 21 ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
ไม่ประมาท คือมี สติพร้อม
คอยหน่วงน้อม ธรรมคุณ ไม่ผลุนผลัน
ธรรมอันใด ไม่ดี หลีกหนีพลัน
ธรรมดีนั้น ยึดแน่น ไม่แคลนคลอน

มงคลที่ 22 มีความเคารพ
ความเคารพ นับถือ คือเสน่ห์
ไม่โลเล เหมือนลิง วิ่งหลอกหลอน
ทั้งต่อหน้า ลับหลัง พึงสังวร
ย่อมงามงอน สวยสง่า ราคาแพง

มงคลที่ 23 มีความถ่อมตน
ไม่พองลม ก้มหัว เจียมตัวด้วย
มรรยาทสวย นิ่มนวล สิ้นส่วนแข็ง
เหมือนงูพิษ ถอดเขี้ยว หมดเรี่ยวแรง
ยามแถลง นอบน้อม พร้อมใจกาย

มงคลที่ 24 มีความสันโดษ
ความสันโดษ พอใจ ในสิ่งของ
เช่นเงินทอง ของตน แม้ล้นหลาย
เมื่อมีน้อย จ่ายน้อย ค่อยสบาย
ความจนหาย เลยลับ กลับมั่งมี

มงคลที่ 25 มีความกตัญญู
กตัญญู รู้บุญ คุณพ่อแม่
คนเฒ่าแก่ แลอาจารย์ ท่านทรงศีล
จอมมุนินทร์ ปิ่นเกล้า เจ้าธานี
หาวิธี แทนคุณ สมดุลกัน

มงคลที่ 26 การฟังธรรมตามกาล
การฟังธรรม ตามกาล ผ่านมาถึง
ควรคำนึง นิ่งนั่ง ฟังขยัน
ย่อมจะเกิด ปัญญา สารพัน
ตั้งใจมั่น ฟังดี นี่สมควร

มงคลที่ 27 มีความอดทน
ความอดทน ตรากตรำ ยามลำบาก
เจ็บไข้มาก ทนได้ ไม่โหยหวน
ถูกเขาด่า ให้ฟัง นั่งหน้านวล
ยิ้มเสสรวล ด้วยขันติ งามวิไล

มงคลที่ 28 เป็นผู้ว่าง่าย
ควรเป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้าน
ก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหน
ไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใด
เมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา

มงคลที่ 29 การได้เห็นสมณะ
การพบเห็น สมณะ ผู้สงบ
แล้วนอบนบ ถามไถ่ ไตรสิกขา
หมั่นฝึกหัด ทุกวัน ด้วยปัญญา
ย่อมชักพา จิตตรง มงคลมี

มงคลที่ 30 การสนทนาธรรมตามกาล
ยามหดหู่ ฟุ้งซ่าน กาลสงสัย
เป็นสมัย ไต่ถาม ตามเหตุผล
เพื่อบรรเทา คลี่คลาย หายกังวล
ควรจะสน- ทนาธรรม ตามที่ควร

มงคลที่ 31 การบำเพ็ญตบะ
พึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลส
อันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์
มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาบสูญพันธุ์
เข้าสู่ขั้น สุโข ฌาณโกลีย์

มงคลที่ 32 การประพฤติพรหมจรรย์
เร่งประพฤติ พรหมจรรย์ อันประเสริฐ์
เพื่อให้เกิด สุขล้วน โดยถ้วนถี่
ตั้งแต่ทาน ถึงสิกขา บรรดามี
สมบูรณ์ดี พรหมจรรย์ ย่อมมั่นคล

มงคลที่ 33 การเห็นอริยสัจ
การรู้เห็น ความจริง สิ่งเที่ยงแท้
ไม่ผันแปร สี่ชนิด ไม่ผิดหลง
ตัดตัณหา มูลราก พรากทุกข์ลง
เป็นการส่ง ข้ามฟาก จากสาคร

มงคลที่ 34 การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์
ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน
เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน
ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก

มงคลที่ 35 การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
ท่านผู้ใด ใจดำรง อยู่คงที่
ในเมื่อมี โลกธรรม ครอบงำหนัก
เช่น ลาภ ยศ สุข เศร้า เข้าง้างชัก
มิอาจยัก โยกท่าน ให้หวั่นใจ

มงคลที่ 36 การมีจิตไม่โศกเศร้า
คราวพลักพราก จากญาติ ขาดชีวิต
ถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่
มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไป
ไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง

มงคลที่ 37 มีจิตปราศจากกิเลส
หมดราคะ โทสะ โมหะแล้ว
จิตผ่องแผ้ว เลิศดี ไม่มีสอง
ย่อมมีค่า สูงจริง ยิ่งเงินทอง
เหมือนสูริย์ส่อง ท้องฟ้า สง่างาม

มงคลที่ 38 มีจิตเกษม
จิตเกษม เปรมปรีดิ์ ดีตลอด
เป็นจิตปลอด จากโอฆ ในโลกสาม
เครื่องผูกมัด สลัดหมด แสนงดงาม
เข้าถึงความ สุขสันต์ นิรันดร

...หากทุกคนประพฤติและปฏิบัติตนได้เยี่ยงนี้แล้วไซร้...ก็จะประสพกับความสุขและความสบายใจ
ในชีวิตได้อย่างสมบูรณ์...พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่พุทธภูมิได้อย่างแน่นอน...