วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โคลงกลอนจากพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๕



จากบทความของบิดาข้าพเจ้า พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม...ดังต่อไปนี้้.
เผอิญผมได้ไปพบบันทึกของผมอีกเรื่องหนึ่งที่ได้บันทึกไว้เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๒๗...
คิอได้มีพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงนิพนธ์ไว้ ดังนี้...
       
            เห็นหน้ากันเมื่อเช้า        สายตาย
    สายสุขอยู่สบาย                     บ่ายม้วย
    บ่ายยังรื่่นเริงกาย                   เย็นดับ ชีพนา
    เย็นอยู่หยอกลูกด้วย              ค่ำม้วยดับสูญ

โคลงบทนี้้้เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ พล.ต.ต.ธีรบุล จัตตารีส์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลสมัยหนึ่งก็ได้...มาแปลความหมายของโคลงบทนี้เป็นภาษาอัังกฤษ...ดังต่อไปนี้...

          Seeing each other in the morn'           Later extinct
          Happy in the morn'                            Dead in the afternoon
          Enjoy life in the afternoon                   Lifeless in the evening
          Teasing with children in the evening    Passing away in the night
Translated by Pol Maj Gen Tiraboon Chattares 5 April 1974...

ผมอ่านดูแล้วก็เข้าทีเพราะถือว่าเป็นคำสอนตามแนวของพระพุทธศาสนานั่นเอง...จึงลองแต่งเป็นบทกลอนผสมคำภาษาอังกฤษกับคำไทยเข้าด้วยกัน ออกมาเป็นรูปพิลึกๆดังต่อไปนี้...

          พระราชนิพนธ์ล้นเกล้า               รัชกาลที่ห้า
     
      ทรงเตือนใจ      ชาวประชา            ด้วยโคลงสี่
      
      เป็นมรณา         นุสติ                     คิดให้ดี
       
      ว่าชีวี              คนเรานั้น               สั้นจริงจริง

          พล.ต.ต.       ธีรบุล                   จัตตารีส์
     
      ขมันขมี            รีบแปลจบ             ครบทุกสิ่ง
      
      เป็นภาษา         อังกฤษ                 มิคิดติง
      
      ยังเกรงกริ่ง       ไม่อยากบอก          ขอลอกมา

         Seeing each other in the morn'

       เช้ามองดู         อยู่สลอน               กันทั่วหน้า
      
          Later extinct                            สิ้นชีวา

       นี่แหละหนา      เช้าหัวร่อ               พอสายตาย

           Happy later in the morn'

        ตะวันอ่อน        หมดความทุกข์       สุขเหลือหลาย

           Dead in the afternoon              คุณกลับกลาย

        ตะวันบ่าย         ตายเสียแล้ว          พ่อแก้วตา

           Enjoy life in the afternoon

        ไม่อาดูร           ต่างสนุก                สุขหรรษา

           Lifeless in the evening             ชิงอำลา

        บ่ายเห็นหน้า     อาทิตย์ลับ             ดับตามกัน

           Teasing with children in the evening

        ลูกชายหญิง      วิ่งหยอกเย้า           เคล้าสุขสันต์

           Passing away in the night         ใจตื้นตัน

         เย็นคุยกัน         ราตรีนั้น                 พลันม้วยมรณ์...

               ขอเดชะ             พระราชทาน           อภัยโทษ

         ได้ทรงโปรดฯ             ให้จดจำ               เป็นคำสอน

          ข้าพระพุทธเจ้า       เชลงไว้                   ในเชิงกลอน

          ตามขั้นตอน            ของพระองค์            ทรงนิพนธ์

              ประทานโทษ      พลตำรวจตรี             ธีระบุล

          ขอขอบคุณ             ที่แปลไว้                 ไม่สับสน  

          ใช้คารม                 สมดังใจ                   ไม่วกวน

          ตามรอยบาท           เบื้องยุคล                เตือนใจเรา

              โลกมนุษย์          ที่เกิดมา                  เวลานี้

           จัดเป็นที่                ไว้อบรม                  บ่มความเขลา

           จะสร้างบุญ             หรือสร้างบาป          เพื่อขัดเกลา

           ให้เลือกเอา            ตามเวรกรรม            ที่ทำมา  

               เพราะเวลา         อายุขัย                    วายชีวาตม์

            เราไม่อาจ             กำหนดไว้                ได้อย่างว่า  

            เหลือแต่ศีล           สมาธิ                       ภาวนา

            เป็นปัญญา            เพื่อพาไป                 ไม่อับจน

กลอนผสมบทนี้ผมแต่งไว้เมื่ิอเดือนมิถุนายน ๒๕๒๗...      





              

            








           
           


วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โคลงกลอนความหมายเรือนเกษตร


 
รูปดวงเกษตรซึ่งทุกท่านจะต้องจดจำให้ขึ้นใจ เพราะเป็นขั้นพื้นฐานที่จะบอกว่า ดาวดวงใดเป็นดาว
เกษตรชองราศีอะไร...เช่นตามภาพ ราศีเมษมีดาวอังคารเป็นเจ้าเรือนเกษตร ราศีพฤษภมีดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนเกษตร ราศีมิถุนมีดาวพุธเป็นเจ้าเรือนเกษตร ฯลฯ คำว่าเกษตรในโหราศาสตร์หมายถึงเจ้าของ
บ้าน...ดังนั้นราศีเมษเจ้าของบ้านก็คือดาวอังคารนั่นเอง...เรื่องราวเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก...
ต่อไปนี้จะเป็นคำกลอนทีมีความหมายของเรือนเกษตรเพื่อจะได้มีความเข้าใจ...โดยไม่ต้องท่องจำ...

     ๑.เกษตรอาทิตย์สถิตสิงห์         ปัญญายิ่งยศถาจะหาไหน
        ทั้งรูปงามนามดีศรีวิไล          จะมีชัยแก่ศัตรูในหมู่พาล
        ทายว่าดีมีทรัพย์นับเป็นหนึ่ง    จะขึงขังโตใหญ่แผ่ไพศาล
        มีช้างม้าข้าไทที่ใช้การ          ทั้งวงศ์วานญาติมิตรสนิทดี

     ๒.เกษตรจันทร์นั้นหนอกรกฏ      จะมียศศักดิ์เลิศประเสริฐศรี
        โภคทรัพย์คับคั่งเพราะมั่งมี      ทั้งถิ่นที่เรือกสวนล้วนไร่นา
        มีคนรักพักพาให้อาศัย           ไม่มีใครจงจิตคิดริษยา
        รูปก็ดีมีสุขทุกทิวา                ญาติกามากมายเป็นก่ายกอง

     ๓.เกษตรอังคารฐานที่อยู่พิจิตร     อีกสถิตเมษมีราศีสอง
        มียศศักดิ์หนักหนาหัวหน้ากอง   ทั้งเงินทองบริบูรณ์เพิ่มพูนมา
        อีกปัญญาพาทีก็ดีล้น             ศัตรูย่นเกรงอำนาจวาสนา
        จะขึ้นชื่อลือเลื่องเปรื่องปรีชา     เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลายสบายใจ

     ๔.เกษตรพุธรุดเร่เมถุนกันย์         ช่างจำนรรแจ่มแจ้งแถลงไข
        โคลงกาพย์ฉันนั้นเล่าก็เข้าใจ     ปัญญาไวช่างคิดประดิษฐ์ดี
        ทรัพย์โภคามาสู่ไม่รู้ขาด          เฉลียวฉลาดไม่มีทุกข์เป็นสุขศรี
        มิตรสหายพี่น้องปรองดองดี       มีไมตรีรักกันไม่ฉันทา

     ๕.เกษตระพฤหัสจำกัดถิ่น            ธนูมีนรู้คัมภีร์ดีหนักหนา
        เฉลียวฉลาดชาติกวีมีปรีชา        ท้าวพระยามักนิยมชมทุกคน
        มีโภคาปรากฏทั้งยศศักดิ์          เจนประจักษ์สารพัดไม่ขัดสน
        เจรจาพาทีมีมงคล                 ทุกตำบลบูชาเป็นอาจารย์

     ๖.เกษตรศุกร์พฤษภสบทบตุลย์      จะมีบุญยศศักดิ์เป็นหลักฐาน
       ทั้งข้าวเกลือเหลือล้นพ้นประมาณ  มีถิ่นฐานบ้านนาและลาโค
       เป็นที่พึ่งญาติกาได้อาศัย           โดยน้ำใจอารีดีอักโข
       สุขเกษมเปรมใจอย่างใหญ่โต      ไม่เซโซอาภัพอัปรมาณ

     ๗.เกษตรเสาร์เนามังกรไม่ร้อนจิต    กำเริบฤทธิ์เป็นพระยาใจกล้าหาญ
        แม้นอาสาเจ้านายคงได้การ        ได้ประทานลาภยศปรากฏจริง
        มีโภคาข้าคนไม่จนยาก             ลูกเมียมากเจ้าชู้เชิงผู้หญิง
        ปัจจามิตรคิดขลาดไม่อาจติง       เพื่อนฝูงยิ่งโรคห่างบางบรรเทา

     ๘.เกษตราราหูอยู่กุมภะ               จักชนะสงครามไม่คร้ามเขา
        มักดื้อด้านดุดันขันไม่เบา           แต่ผมเผ้าเบาบางห่างโรคี
        ชอบรื่นเริงเชิงทหารในการรบ      ศัตรูหลบตัวปลีกเลี่ยงหลีกหนี
        คนอาศัยพึ่งพาบารมี                เชื้อยักษีราหูทายดูเอย

     คำกลอนบทนี้เป็นของอาจารย์ พันตรี หลวงอนันตยุทธภัทรได้เรียบเรียงไว้ในหนังสือโชติยนิติ์
อาจารย์ พันเอก[พิเศษ]เอื้อน มนเทียรทอง ได้ทำการแก้ไขบางตอน เพื่อความกะทัดรัดและไพเราะ
ตามรูปกลอนแปด และยังได้เพิ่มคำพยากรณ์ตามศักยภาพของดวงดาว อีกประการหนึ่งคำกลอนย่อมสะดวกต่อการท่องจำ คำอธิบายโดยละเอียดจะอธิบายในบทความหมายของดาวพระเคราะห์ต่อไป...

โคลงกลอนของโหราศาสตร์



โคลงกลอนในโหราศาสตร์มีไว้เพื่อ ให้จดจำความหมายของดวงดาวเพื่อจะได้เกิดความเข้าใจไม่ใช่ท่องจำ! บอกลักษณะคู่มิตร คู่ศัตรูฯลฯ พลังงานหรือตำแหน่งต่างๆของดวงดาวว่าดีร้ายประการใดครูโหรโบราณจึงรจนาคำกลอนเหล่านี้  ขึ้นมาให้เหล่าลูกศิษย์ได้จดจำในบทกลอนแรกจะกล่าวถึงความหมายหลักของดวงดาวมีดังต่อไปนี้


   ๑. ยศศักดิ์ให้ทายอาทิตย์            ๒. รูปร่างจริตให้ทายจันทร์
   ๓. กล้าแข็งขยันให้ทายอังคาร     ๔. เจรจาอ่อนหวานให้ทายพุธ
   ๕. ปัญญาบริสุทธิ์ให้ทายพฤหัส    ๖. กิเลสสมบัติให้ทายศุกร์
   ๗.โทษทุกข์ให้ทายเสาร์             ๘. มัวเมาให้ทายราหู
   ๙. อายุยืนอยู่ให้ทายเกต              ๐. ภัยอาเพทให้ทายมฤตยู

    โคลงกลอนบทต่อไปนี้เกี่ยวกับ ดาวคู่ศัตรู
   อาทิตย์ผิดอังคาร                พุธอันธพาลวิวาทราหู
   ศุกร์กับเสาร์เป็นเสี้ยนศัตรู     จันทร์กับครู [พฤหัส} เป็นอริต่อกัน 

    โคลงกลอนบทต่อไปนี้เกี่ยวกับ ดาวคู่มิตร
   อาทิตย์เป็นมิตรกับครู            จันทร์โฉมตรูพุธนงเยาว์
   ศุกร์ปากหวานอังคารรับเอา     เสาร์ักับราหูเป็นมิตรต่อกัน

    โคลงกลอนบทต่อไปนี้เกี่ยวกับลักษณะของดวงดาวที่แสดงผลในด้านเสริมสร้างบุคลิคความมีสง่าราศีเป็นที่พึงพอใจต่อผู้ที่ได้
   พบ เห็น หรือว่าได้ร่วมสมาคมด้วย เป็นที่ชื่นชอบ เป็นคนที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยกย่องของผู้คนทั้งหลายเรียกว่า"ดวงชาตาปทุมเกณฑ์"

   อนึ่งจันทร์สิบเอ็ดแท้       แก่ลัคน์   
   พฤหัสสี่ทรงศักดิ์            แช่มช้อย
   ศุกร์สามดั่งนี้จัก             เจริญยิ่งยศแฮ
   หากว่าชาติต่ำต้อย         ยกให้เสมอพงศ์

    โคลงกลอนบทต่อไปนี้เกี่ยวกับลักษณะตำแหน่งของดวงดาวที่แสดงผลในด้านที่ให้คุณแก่เจ้าชาตาอย่างสูงเรียกว่า" จันทร์ ครุ สุริยา"

   ทวารทั้งสี่นี้         กรกฏา
   ตุลย์ เมษ มกรา    ครบถ้วน
   จันทร์ ครุ สุริยา    สถิตอยู่
   ได้จักรดั่งนี้ล้วน    ยิ่งล้ำใครเสมอ

   โคลงกลอนในโหราศาสตร์ยังมีอีกค่อนข้างมากนัก วันนี้เอาแต่หลักๆไว้พอสมควรก่อนครับ

   

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีสำหรับผู้ลาสิกขาบทก่อนออกจากวัด





โบราณถือกันมาว่า ผู้ลาสิกขาบทก่อนออกจากวัด จะต้องก้าวเท้าขวาออกมาก่อน เพราะเชื่อกันมา
ว่า มือขวาและเท้าขวา เป็นอวัยวะที่เป็นมงคลกับร่างกาย การที่เราเอาของที่เป็นมงคลนำทางออกไปก่อน จะเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ลาสิกขาบท ทำนองเดียวกันกับ เมื่อเวลาเราออกรถยนต์คันใหม่...
เขาให้ขับรถออกมาทางขวา ถ้าทางที่ออกบังคับให้เลี้ยวซ้าย ก็ให้ขับรถตีวงขวาออกมาก่อนเป็นเคล็ดแล้วถึงค่อยตีวงซ้ายออกมาอีกทีหนึ่ง...

ผู้ลาสิกขาบทแล้วก่อนจะได้เวลาฤกษ์ออกจากวัด จะต้องไปไหว้...กราบลาขอพรพระประธานใน
พระอุโบสถเสียก่อน แล้วจึงไปกราบลาพร้อมกับอธิษฐานจิตกับพระพุทธในกุฎิที่ตนอยู่ ต่อมาก็ให้ไป
กราบลาท่านเจ้าอาวาสกับพระผู้ใหญ่ที่ควรลา แต่งตัวมายืนหันหน้าไปทางทิศตามฤกษ์ ก้าวเท้าขวา
ออกไปก่อนตามทิศที่กำหนดไว้...ประมาณ ๒-๓ ก้าว แล้วจึงจะวนไปสู่ทางออก แต่ถ้าทิศตามฤกษ์
เป็นทางออกพอดี ก็ก้าวเท้าขวาออกไปได้เลย มีข้อควรจำคือ เมื่อออกไปจากวัดแล้ว ห้ามหันหลัง
กลับมาดูวัดอีก...

เมื่อกลับถึงบ้านให้ไหว้ขอพรจาก บิดา มารดา หรือญาติผู้ใหญ่...และเข้าไปกราบบูชาพระในบ้าน
ด้วยดอกไม้ ธูปเทียน แล้วไปบูชาอัฐิบรรพบุรุษอธิษฐานขอความเป็นสิริมงคลและลาภผล ไปบูชา...
พระภูมิเจ้าที่แผ่ส่วนกุศลให้...แล้วค่อยเข้าไปที่ห้องของตน ทำพิธีนอน...ปิดประตูหน้าต่าง...กางมุ้ง
นอนเป็นพิธีเสีย ๕-๑๐...นาที...ต่อจากนั้นจะไปที่ใด ทำอะไร...ไม่มีปัญหา...

ความหมายของภพในโหราศาสตร์















... คำว่า"ภพ"หรือคำว่า"เรือน"ในดวงชาตา หมายถึงราศี

ต่างๆซึ่งมีอยู่ในดวงชาตา ๑๒ ราศีตามที่มีจริงอยู่ในจักรวาล ...


ภาษาโหรเรียกว่า "ภพ" หรือเรือนชาตา

เรื่มจากภพแรกราศีที่ลัคนาสถิตอยู่ เรียกว่า"ตนุภพ" หรือ เรือนที่ ๑ 

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"กฎุมภะภพ" เป็นเรือนที่ ๒

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"สหัชภพ"เป็นเรือนที่ ๓ 

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"พันธุภพ" เป็นเรือนที่ ๔ 

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"ปุตตะภพ"เป็นเรือนที่ ๕

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"อริภพ" เป็นเรือนที่ ๖

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"ปัตนิภพ" เป็นเรือนที่ ๗ 

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"มรณะภพ"  เป็นเรือนที่ ๘

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"ศุภะภพ"เป็นเรือนที่ ๙

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"กรรมภพ"เป็นเรือนที่ ๑๐ 

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"ลาภะภพ"เป็นเรือนที่ ๑๑

ราศีถัดต่อไปเรียกว่า"วินาศภพ" เป็นเรือนที่ ๑๒ 

เรือนชาตาทั้ง ๑๒ เรือน มีความหมายเฉพาะตัวของแต่ละเรือน ซึ่งจะต้องท่องและจดจำ

เปรียบเสมือนสูตรคูณที่ต้องท่องจำเสียก่อนถึงจะบวก-ลบ-คูณ-หาร ออกมาได้ ฉันใดฉันนั้น 

โหราศาสตร์ก็ต้องจดจำภพและเรือนให้ได้เสียก่อน ถึงจะคำนวณผลลัพท์การทำนาย

ออกมาได้ ดังนั้นผู้ที่จะศึกษาโหราศาสตร์ควรที่จะต้องเข้าใจเรื่อง  ภพและเรือนเสียก่อน

เป็นขั้นปฐมภาค

กลไกของโหราศาสตร์




โหราศาสตร์จะตั้งราศีเมษเป็นราศีแรก การที่เรียกกันว่า เกษตร ๒ เรือนความหมายคือ ราศีเมษและราศีพฤจิกจะมีดาวอังคารเป็น


เจ้าเรือนเหมือนกัน  ราศีพฤษภและราศีตุลย์ จะมีดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนเหมือนกัน  ราศีมิถุน และราศีกันย์ จะมีดาวพุธเป็นเจ้าเรือน

เหมือนกัน  ราศีธนูและราศีมีนจะมีดาวพฤหัสเป็นเจ้าเรือนเหมือนกัน ส่วนราศีกุมภ์เดิมทีดาวเสาร์ ๗เป็นเจ้าเรือนอยู่แต่โปรดสังเกตุ

จากราศีเมษ ๓ มองไปตรงกันข้ามจะเห็นราศีตุลย์ ๖ บวกกันแล้วจะได้ ๙ ลองไล่ดูต่อไปจากราศีพฤษภ ๖มองไปตรงกันข้ามจะเห็น

ราศีพฤศจิก ๓ บวกกันแล้วจะได้๙เช่นเดียวกัน ทุกท่านค่อยๆไล่ไปจะบวกกันได้ ๙ทุกราศี...แต่ถ้าราศีกุมภ์มี ๗อยู่เหมิอนเก่าก่อน

๗ บวกกับ ๑ ราศีสิงห์ก็จะได้แค่ ๘ ไม่เป็น ๙ เหมือนราศีอื่นๆ เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์จึงบรรจุ ๘ เข้าไปที่ราศีกุมภ์ทำให้บวกกัน

แล้วลงตัวได้ ๙ เป็นอันว่าครบตามสูตร ๙ ทันที...ทางโหราศาสตร์ไทยเราเรียกกันว่า "เกษตร ๒ เรือน"



เลข ๙ เป็นเลขมหัศจรรย์ ทุกท่านลองเอา ๙ คูณ ๑ ก็ได้ ๙...

เอา ๙คูณ ๒ ได้ ๑๘...เอา ๑ +๘ ก็ได้ ๙ อีก{ตามระบบเลขศาสตร์ เอาเลขทั้งหมด+กันจน+ไม่ได้} 
เอา ๙คูณ ๓ ได้ ๒๗...เอา ๒+๗ ก็ได้ ๙ อีกฯลฯ...ที่เหลือลองคูณดูเองบ้างนะครับ
จึงนับว่า เลข ๙ เป็นเลขซึ่งไม่สามารถทำลายได้ เลข ๙ ในโหราศาสตร์มีความหมายถึง วิญญาณ สิ่งที่สูงส่ง พลังจิต ฯลฯ



สรุปว่านี่คือ" กลไกของโหราศาสตร์ " ที่เป็นความอัศจรรย์แห่งจักรวาล...



ความหมายของเกษตรในโหราศาสตร์หมายถึงการเป็นเจ้าของที่แท้จริง ดูตามภาพ 

๑.ราศีเมษจะมีดาวอังคารเป็นเจ้าเรือนเกษตร

๒.ราศืพฤษภจะมีดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนเกษตร

๓.ราศีมิถุนจะมีดาวพุธเป็นเจ้าเรือนเกษตร 

๔.ราศีกรกฎจะมีดาวจันทร์เป็นเจ้าเรือนเกษตร

๕.ราศีสิงห์จะมีดาวอาทิตย์เป็นเจ้าเรือนเกษตร  

๖.ราศีกันย์จะมีดาวพุธเป็นเจ้าเรือนเกษตร  

๗.ราศีตุลย์จะมีดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนเกษตร

๘.ราศีพฤศจิกจะมีดาวอังคารเป็นเจ้าเรือนเกษตร 

๙.ราศีธนูจะมีดาวพฤหัสเป็นเจ้าเรือนเกษตร

๑๐.ราศีมังกรจะมีดาวเสาร์เป็นเจ้าเรือนเกษตร

๑๑.ราศีกุมภ์จะมีดาวราหูเป็นเจ้าเรือนเกษตร  

รายนามครูบาอาจารย๋ที่ข้าพเจ้าเคารพ



ผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์ทุกท่าน ควรที่จะต้องระลึกถึงบุญคุณของครูบาอาจารย์ ด้วยการสวดมนต์ภาวนาก็คือสวดพระคาถาไหว้ครูไว้เป็นประจำ ยามใดที่เราติดขัด...หรือคิดไม่ออก...ครูบาอาจารย์ก็จะช่วยดลจิตดลใจทำให้เราได้ทำนายทายทักผู้คนได้อย่างแม่นยำ...ดุจตาเห็น...

ต่อจากนี้จะเป็นรายชื่อครูโหร...ที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาโหราศาสตร์มาจาำกพวกท่าน...คือ...

๑. อ.พลูหลวง

๒. อ.มหาบรรเทา

๓. อ.ประทีป อัครา

๔. อ.เทพย์ สาริบุตร

๕. อ.จำรัส ศิริ

๖. อ.อรุณ ลำเพ็ญ

๗.อ.พันเอกเอื้อน มนเฑียรทอง

๘. อ.จรัล พิกุล

๙. อ.ส.ไชยนันท์

๑๐.อ.ยอดธง ทับทิวไม้

๑๑.อ.สถิตย์ สถิตยืนยง

๑๒.อ.สิงห์โต สุริยาอารักษ์

๑๓.อ.จรณังกูร

๑๔.อ.ศิวเมษ

ยังมีอีกครูโหรอีกหลายท่านที่ยังไม่ได้เรียบเรียง...ครับ...


รายงานในข้อความ

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความเข้าใจในเรื่องโหราศาสตร์









 ...โหราศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ควบคู่กันมากับศาสตร์แขนงอื่นนับพันปี และได้พัฒนา

มาตามลำดับจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป โหราศาสตร์ไทยมาตรฐานเป็นโหราศาสตร์ชั้นสูง

สามารถพยากรณ์ดวงชาตาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และอนาคต รอบตัวเรา ยังมีอีกหลาย

หลากเรื่อง หลายกรณี ที่ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ด้วยตัวเอง การพยากรณ์จากดวงของเจ้าชาตา 

เป็นการพยากรณ์ที่ละเอียด ลึกซึ้ง และแม่นยำ บอกถึงโชคชาตาความเป็นไปในชีวิตเบื้องหน้า

และเบื้องหลังที่เกิดขึ้นกับเจ้าชาตาเพื่อที่จะหาทางแก้ไข หรือปรับปรุงชีวิตขึ้นมาได้อย่างน่า

อัศจรรย์ การผูกดวงชาตา ต้องอาศัยการคำนวณจากวัน เดือน ปี และเวลาเกิดของเจ้าชาตา

จึงจะสามารถบอกได้ว่า ดวงดาวต่างๆนั้นอยู่ในตำแหน่งใด ...



 ... ดวงดาวที่นำมาใช้ในโหราศาสตร์นั้น เริ่มจากดวงอาทิตย์ จันทร์ พุธ ศุกร์ อังคาร พฤหัส

 เสาร์ ตามลำดับ และยังมี ราหูกับเกตุ รวมทั้งมฤตยู เนปจูน พลูโต เมื่อคำนวณได้ว่าดวงดาว

ทั้งหมดนี้  อยู่ในตำแหน่งที่ดีหรือเสียอย่างไร การอ่านคำพยากรณ์ก็จะเริ่มต้นขึ้นได้ทันที 

โดยท่านสามารถซักถามรายละเอียดที่เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว ญาติพี่น้อง การงาน การเงิน 

และชีวิตสมรส เพื่อที่จะได้นำไปเป็นแนวทางที่จะต้องแก้ไข หรือปรับปรุงชีวิตของท่านเอง 

โดยรู้ล่วงหน้าว่าควรทำอย่างไร  ฉะนั้นการพยากรณ์ดวงชาตาจึงเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล  

ต่อผู้ที่ได้รับทราบถึงเรื่องราวความเป็นไปของชีวิต และป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด

 ดังนั้นความเสียหายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ย่อมน้อยลงไปและขึ้นอยู่กับตัวท่านเองด้วยว่า 

จะยอมรับความเป็นจริงและยอมที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ ...



... การเรียนรู้โหราศาสตร์ ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกคน เพราะจะทำให้เราล่วงรู้อนาคตของ

ตนเอง คนใกล้ชิดและสังคมที่เราต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับมันในโลกกว้างใบนี้ การรู้ตัวล่วงหน้า

ทำให้เราสามารถแก้ไข สถานะการณ์ต่างๆที่จะอุบัติขึ้นมาได้ ถ้าเป็นเรื่องร้ายเราก็สามารถที่

จะป้องกันทำให้จากหนักเป็นเบาลงได้ หากเป็นเรื่องดีเราก็ต้องรีบขวนขวายอุตสาหะ ทำให้

เรื่องนั้นเกิดเป็นจริงขึ้นมาดีเลิศเกินความคาดหมายเรา อย่าไปกลัวว่าการรู้อนาคตที่ดีหรือเลว

นั้น จะทำให้เกิดวิตกจริตหรือยินดีปรีดาเกินขอบเขตไป หากคนเรารู้จักคำว่า ...


 
   รู้จักพอ  ก่อสุข   ทุกสถาน
   
   รู้จักพอ  ต่อการ  แสวงหา
   
   รู้จักพอ  ก่อสุข   ทุกเวลา
   
   รู้จักพอ พระท่านว่า นั่นแหละดี



แล้วไซร้...ความเป็นอยู่ของคนบนโลกนี้ก็คงจะอยู่อย่างมีสันติสุข ปรองดองและมีความสามัคคี

ร่วมกัน โลกใบนี้ก็จะมีแต่ความสุข ความเจริญ ความรุ่งเรืองตลอดไปชั่วกาลนาน ...




... สวัสดีครับ ...

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิชาโหราศาสตร์ +ลัคนาโลก







คำว่าโหรา แปลมาจาก อโหราตร์ สันสกฤตและ อโหรตตัง มคธตรงกับความหมายที่ว่า

" วันและคืน "ตามปทานุกรมฉบับหนึ่งว่า ... 

โหราคืออุทัยแห่งราศี ชั่งโมง ลักษณะหรือเครื่องหมาย เรขาหรือเลขา ศาสตร์อันว่าด้วย

กษัตรวิทยา อีกฉบับหนึ่งให้ความหมายศัพท์ไว้ดังนี้คือ ...

อโหรา คือ ชั่วโมง หรือชาตะ

โหราจารย์ คือผู้ที่ทำนายทางวิชชาโหร

โหราศาสตร์ คือตำราดูฤกษ์ดาราศาสตร์

คำว่า"โหร" ไทยอ่านว่าโหร สันสกฤตอ่านว่า โหรา แปลว่าหมอดูฤกษ์หรือผู้ชำนาญ

ทางดาราศาสตร์ ...

"โหรา" แปลว่า โลกอื่น แปลความหมายได้ว่า"ทายกาลล่วงหน้า หรือว่าดูอนาคต

ล่วงหน้า "ศาสตร์" แปลว่า วิชาการต่างๆ ...

รวมความได้ว่า โหราศาสตร์แปลว่า วิชาที่ดูอนาคตล่วงหน้า ...



... วิชาโหราศาสตร์ เป็นวิชาที่ใช้สำหรับพยากรณ์ผลกรรมของมนุษย์ ทางพุทธศาสตร์อาศัย

เหตุ เป็นเครื่องพยากรณ์ผล ส่วนโหราศาสตร์นั้นอาศัยดวงดาวเป็นเครื่องพยากรณ์ คือเป็น

เครื่องเทียบเคียงผลกรรมของมนุษย์ ที่มนุษย์เราทุกคนได้รับผลกรรมนั้นอยู่ และจะได้รับผลต่อ

ไปในชั่วระยะกาลแห่งชีวิต ทั้งที่เป็นกรรมดี และกรรมชั่ว โหราศาสตร์จึงเป็นเครื่องชี้ผลกรรม

ของมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้โดยอนุมาน ...



... โหราศาสตร์มีหลักใหญ่ๆ รวม ๓ ประการด้วยกันกล่าวคือ ...

๑. ภาคคำนวณ สำหรับโหรไทยเราก็ได้แก่การศึกษา คำนวณการโคจรของดาวเคราะห์ 

ตามคัมภึร์พระสุริยาตร์ คำนาณหาจุดอุปราคา ตามคัมภีร์สารัมภ์ ฯลฯ ...

๒. ภาคพยากรณ์ คือการศึกษาในการพยากรณ์ดวงชาตาของบุคคล พยากรณ์ความเป็น

ไปของบ้านเมืองฯลฯ ...

๓. ภาคพิธีกรรม คือเมื่อพยากรณ์ดวงชาตาดูแล้ว เห็นว่าอยู่ในเกณฑ์มีเคราะห์ร้ายก็จะจัด

พิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ให้ แนะนำวิธีการต่างๆให้กับเจ้าของดวงชาตานั้นๆไปปฏิบัติตาม

โหราศาสตร์ในประเทศไทย จะเริ่มมีมาแต่ครั้งใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่มีหลักฐาน

บางประการชี้ชัดว่า ในสมัยพันกว่าปีมาแล้วนั้น โหราศาสตร์ได้มีอยู่แล้ว ในผืนแผ่นดินไทย

ของเรา...





 
... ลัคนาโลก ...


... ในวิชาโหราศาสตร์เรามีการตั้งลัคนาโลกจากราศีเมษเป็นหลักเบื้องต้น ซึ่งลัตนาโลก

นี้เราจะใช้ดูซ้อนกันกับลัคนาของเราเองก็ตือลัคนาคนนั่นเอง ครูโหรในอดีตท่านมักใช้ดู

ควบคูู่กับลัคนาคนอยู่โดยตลอด ซึ่งจัดว่ามีความแม่นยำเป็นอย่างยิ่งยวด เช่น ...

...สมมุติลัคนาอยู่ราศีกันย์ ถ้าไปอ่านร่วมด้วยช่วยกันกับลัคนาโลกก็จะได้ใจความว่า ...

... ตนุ + อริ ... คำนี้แปลออกมาได้หลายใจความดังนี้ ...

... ๑. คุณเป็นคนที่จริงจังจนเกินไป ทำให้คนอื่นอึดอัด

... ๒. คุณเป็นคนที่ต้องแบกภาระและความรับผิดชอบ

... ๓. คุณเป็นคนที่เกิดมาอาภัพ ... อาภัพเรื่องอะไร? ...

เราก็ตามตนุลัคน์ไปว่าอยู่ภพอะไร ? ...

ถ้าไปอยู่ภพปัตนิก็ว่า อาภัพคู่ ไปอยู่ภพสหัชชะก็ว่า อาภัพญาติ ... 

... ว่ากันไปตามน้ำ ...

... ๔. คุณเป็นนักสู้ชอบการผจญภัย  คุณเป็นนักกีฬาชอบการแข่งขัน ...

... ๕. คุณเป็นคนที่มีศัตรูอยู่รอบทิศ หรือเป็นคนที่มักจะมีหนี้สินอยู่ร่ำไป ...



... เดี๋ยวผมทำภาพประกอบให้ดูด้วยจะดีกว่านะครับ ...








... สมมุติว่าคุณเป็นคนราศีสิงห์ตามภาพ ...



... เราสามารถตั้งดูได้จากลัคนาคน + ลัคนาโลกได้ดังนี้ ...

... ตนุ + ปุตตะ = คุุณเป็นคนรักลูก และนิสัยเหมือนเด็กแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม

... กฎุมภะ + อริ = คุณเป็นคนขยันหาเงินแม้จะยากลำบากสักเพียงใดก็ตามที

... สหัชชะ + ปัตนิ = ญาติพี่น้องของคุณมักสร้างปัญหาให้ปวดหัวอยู่เรื่อยๆ

... พันธุ + มรณะ  = พ่อและแม่มักจะแยกทางกัน หรือเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ

... ปุตตะ + ศุภะ = บุตร + บริวาร นำความสำเร็จมาให้ [ ถ้าดาว ๕ อยู่ภพที่ดี ] 

... อริ + กัมมะ = คุณเป็นคนที่ขยันบากบั่นในการทำงาน ไม่ย่อท้อต่อความลำบากใดๆ

... ปัตนิ + ลาภะ = คุณเป็นคนที่คู่มาก หรือมักจะโชคดีจากเพศตรงข้าม 

... มรณะ + วินาสน์ = ลาภผลรายได้จากงานมักได้จากการเดินทางไกล - ใกล้ เสมอ

... ศุภะ + ตนุ = คุณจะได้ดีมีความสุข ความสำเร็จขึ้นมาได้ในช่วงอายุย่างเข้าช่วงสูงวัย 

... กัมมะ +กฎุมภะ =  คุณเป็นคนประเภท งานคือเงิน ... เงินคืองาน ลุยเต็มที่ไม่ย่อท้อ

... ลาภะ + สหัชชะ =  รายได้ โชคลาภ ชัยชนะมักได้จากการติดต่อวิ่งเต้นหรือมิตรสหาย

เพราะเป็นคนมีเพื่อนมาก [ เยอะแยะ ] ...

... วินาสน์ + พันธุ = มักจะจากพ่อ - แม่ ตั้งแต่เยาว์วัย ญาติแท้ๆพึ่งกันได้ยาก ...







... ลองขยับเคลื่อนราศีต่างๆขึ้นมาทายคู่ไปกับลัคนาโลกและทบทวนให้คล่องแคล่วแม่นยำ

นี่ขนาดไม่ได้ดูดาวเจ้าเรือนวิ่งไปไหนยังสามารถทายคนราศีต่างๆได้ชัดเจน เจาะ ลึก ได้ดี

... ผมขอให้ข้อสังเกตุว่า ... สำหรับคนราศีสิงห์ราศีมีนเป็นภพ มรณะ + วินาสน์ = ความดี

ไม่ค่อยจะปรากฏ ดังนั้น ดาว ๕ เจ้าเรือนจึงเป็นสื่อในเรื่อง มรณะ + วินาสน์แน่นอน ... แต่ก็

ต้องดูดาว ๕ ในดวงชาตาเดิมอยู่ภพ - ตำแหน่งดี - ร้ายเพียงใดเสีบก่อน แล้วจึงค่อยเอามา

ทำนายดูอีกที ... แต่ข่าวดีก็คือ ดาว ๕ ในวันที่ 11 ก.ค.2558 จะย้ายจากภาคกลางคืนมาสู่

ภาคกลางวัน ดังนั้นจากความหมายว่า มรณะ + วินาสน์ จะเปลี่ยนไปเป็น ปุตตะ+ ศุภะ ฟังดู

ดีกว่าตอนอยู่ภาคกลางคืนเยอะเลย ...


... ส่วนคนราศีอื่นๆ ก็ลองอ่านกันดูนะครับ ค่อยๆดูค่อยๆจำ เดี๋ยวก็ก็จะเกิดความชำนาญขึ้น

มาได้เองทุกคนแน่นอนครับ ...








... ในบทความนี้ได้อธิบายความหมายของวิชาโหราศาสตร์ไปโดยสังเขปในบทความต่อไป 

จะค่อยๆชี้แนะให้ทุกคนได้เรียนรู้วิชาโหราศาสตร์ไว้เป็นความรู้ประดับตนเอง และเพื่อเป็น

ประโยชน์ต่อส่วนรวมในภายหน้าได้ และขออวยพรให้ทุกท่านประสบกับความสำเร็จในวิชา

โหราศาสตร์ได้ดังใจนึกนะครับ ... 


... สวัสดีครับ ...



... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...