วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คุยกันในเรื่องการเรียนรู้โหราศาสตร์







... วิชาโหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีมานานนับหลายพันปีสืบต่อกันมา... เป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่มี
ความสัมพันธ์กับดวงดาวอย่างแน่นแฟ้น...การทำนายดวงชาตาก็ต้องอาศัย"ตกฟาก" คือเวลาที่เกิด
ของแต่ละบุคคล...นำมาหาลัคนาที่แท้จริงของแต่ละบุคคล ... การที่เราเกิดเดือนมกราคมจะเป็นคนราศีมังกร...เกิดเดือนกุมภาพันธ์จะเป็นคนราศีกุมภ์...เกิดเดือนมีนาคมจะเป็นคนราศีมีนฯลฯ...ยังเป็นเรื่องที่
ไม่ถูกต้องนัก...ความเป็นจริงก็คือ...การที่่เราจะรู้ว่าลัคนาราศีอะไรนั้้้น...ขึ้นอยู่กับเวลาเกิดของเราต่างหาก...สมมุติเช่นคนที่เกิดวันเดียวกันแต่เวลาเกิดต่างกัน...ย่อมต้องเป็นคนละราศีกันอย่างแน่นอน...

      ...ยกตัวอย่างดังนี้้่คือในวันนี้ ถ้าเกิดเวลาประมาณตี ๕ - ๗.๓๐ น.จะเป็นคนราศีสิงห์...ถ้าเกิดเวลา
ประมาณ ๗.๓๑ - ๑๐.๑๐ น.จะเป็นคนราศีกันย์...ถ้าเกิดเวลา ๑๐.๑๑ - ๑๓.๐๐ น.จะเป็นคนราศีตุลย์...
จะเป็นเช่นนี้ไปจนครบ ๑๒ ราศี...การที่ทั่วไประบุว่าคนที่เกิดระหว่างกลางเดือน ส.ค.ไปถึงกลางเดือน...
ก.ย.เป็นชาวราศีสิงห์...คนที่เกิดระหว่างกลางเดือนก.ย.ไปถึงกลางเดือน ต.ค.เป็นชาวราศีกันย์...คนที่
เกิดระหว่างกลางเดือน ต.ค.ไปถึงกลางเดือน พ.ย.เป็นชาวราศีตุลย์ เป็นต้น...

     ...การที่ทั่วไปกล่าวเช่นนั้นเป็นการทำนายแบบคร่าวๆรวมๆ...ซึ่งก็ไม่ถูกอยู่...แต่การจะรู้ว่าเป็นคนราศีอะไรที่ชัดแจ้ง...ต้องรู้จากเวลาเกิดของบุคคล คนนั้นต่างหากจึงจะเป็นลัคนาที่แท้จริง...ก็คือเวลา
ตกฟาก...ที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ตอนต้นนั่นเอง...มีกรณีพิเศษเช่น...บุคคลที่เกิดวันเดียวกัน ปีเดียวกัน...
เวลาตรงกัน...ลัคนาจะต้องเหมือนกันแน่นอน...การทำนายก็จะมีกฏเกณฑ์เพิ่มขึ้นมาอีกคือ...ต้องดูจากชาติกำเนิดอีกที...ยกตัวอย่างอธิบายดังนี้คือ...

     ...ภูเขาที่สูงใหญ่ย่อมมีตำแหน่งที่สูงสุด...ส่วนกลางภูเขา...และส่วนปลายภูเขา...บุคคลที่เกิดใน...
ราชวงศ์กษัตริย์...ต่อไปภายภาคหน้าย่อมได้เป็นกษัตริย์...แสดงว่าเกิดในที่สูงสุด...ส่วนบุคคลที่เกิด
ในตระกูลพ่อค้าหรือข้าราชการสูงศักดิ์...ก็ย่อมต้องเจริญรอยตามบรรพบุรุษ...แสดงว่าเกิดในส่วนกลาง
สุดท้ายบุคคลที่เกิดมาต่ำต้อย...ยากไร้...แต่ต่อมาได้เป็นถึงพระสังฆราช...ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดของสงฆ์...แสดงว่าเกิดที่ต่ำสุดคือปลายภูเขา...ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด...เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ตามประวัติบุคคลสำคัญต่างๆในโลกใบนี้...

   ...สรปจึงเป็นการยืนยันเรื่องว่าคนที่เกิดวันเดียวกัน...แต่ตกฟากไม่เหมือนกัน...ย่อมต้องเป็นคนละ
ราศีและ...ชีวิตความเป็นอยู่จะต้องแตกต่างกันอย่างแน่นอน...แต่ถ้าเกิดวันเดียวกันและเวลาตกฟาก
เหมือนกัน...วิถีชีวิตย่อมต้องคล้ายคลึงกัน...แล้วแต่ว่าชาติกำเนิดจะมาจาก...สูง...กลาง...ต่ำ...ตาม
ที่ได้อธิบายไปแล้วในเบื้องต้นแล้วนั่นเอง...

     


วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อุปกะนักปราชญ์

 


      ...อาชีวก อุปกะ เป็นนักปราชญ์เมธีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากคนหนึ่งในสมัยนั้น...ได้พบพระพุทธเจ้า...
ซึ่งบรรลุโพธิญาณมาใหม่ๆ...ถามไปถามมา พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่า ท่านรู้เอง ไม่มีใครสอน อุปกะ
ก็ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า หาว่าพูดจาอวดดี...แล้วก็แลบลิ้น เดินหนีไป...ต่อมา อุปกะก็ไปประพฤติทางโลกีย์
มีเมียสาวคราวเด็ก...ถูกเมียพูดจาถากถางต่างๆนาๆ...ในที่สุดก็เลยต้องหนีออกจากบ้านไปพบพระพุทธองค์อีก...การพบในคราวนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนดังนี้...

...ธรรมเทศนาจากแก่น...
" อุปกะ...ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจาก...ตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยากดิ้นรนและความยึดมั่น...ถือมั่นว่า เป็นเราเป็นของเรา...รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่างๆ...อะไรก็ตามที่เราเข้าไปเกาะเกี่ยวหรือยึดถือไว้...โดยความเป็นตน เป็นของตนที่จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นเป็นไม่มี...

...เมื่อใดบุคคลมาเห็น ก็สักแต่ว่าเห็น...ฟังก็สักแต่ว่าฟัง...รู้สึกก็เพียงแต่ว่าได้รู้...เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เพียงสักแต่ว่า ไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา...เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากการถือต่างๆ...ปลอดโปร่ง แจ่มใส
เบิกบานอยู่...

...ดูก่อน อุปกะ...เธอจงมองดูโลกนี้ด้วยความเป็นของว่างเปล่า...มีสติอยู่ทุกเมื่อ...ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือ
...ความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวตนเสียด้วยประการฉะนี้แล้ว...เธอจะเบาสบาย คลายทุกข์ คลายกังวล...
ไม่มีความสุขใดจะยิ่งไปกว่า...การปล่อยวาง...และสำรวมตนอยู่ในธรรม "

....ในที่สุด อุปกะ...ก็ได้บรรลุ...อนาคามี...เพราะธรรมเทศนานี้...

จากบทความบิดา...ข้าพเจ้า...พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม... ๒ ก.ย.๒๖...

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มรรค ๘



                                                                           มรรค ๘

                                                       มรรคคือหนทางสู่ความดับทุกข์

สัมมาทิฏฐิ            ปัญญาเห็นชอบ หมายถึงการปฏิบัติอย่างเหมาะสม...ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา...

สัมมาสังกัปปะ     ดำริชอบ หมายถึงการใช้สมองความคิดพิจารณา...แต่ในทางกุศลหรือความดีงาม...     

สัมมาวาจา           เจรจาชอบ หมายถึงการพูดต้องสุภาพ...แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม...      

สัมมากัมมันตะ     การประพฤติดีงามทางกาย หรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง...ทำการงานที่ชอบ...

สัมมาอาชีวะ        คือการทำมาหากินอย่างสุจริตชน...ไม่คดโกงหรือเอาเปรียบคนอื่นจนเกินไป...

สัมมาวายามะ      คือความอุตสาหะพยายาม...ประกอบความเพียรในทางกุศลกรรม...

สัมมาสติ              คือการไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอจิตเลื่อนลอย...ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็น

                            ปกติ ไม่วอกแวก...

สัมมาสมาธิ          คือการฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัดจากกิเลศ นิวรณ์อยู่เป็นปกติ...

                                    ...องค์ประกอบมี ๘ ข้อย่อ...ออกมาเป็น ๓ ข้อ...

สัมมาทิฏฐิ            สัมมาสังกัปปะ                              อยู่ในหมวด       ปัญญา

สัมมาวาจา           สัมมากัมมันตะ    สัมมาอาชีวะ      อยู่ในหมวด          ศีล

สัมมาวายามะ       สัมมาสติ             สัมมาสมาธิ       อยู่ในหมวด       สมาธิขันธ์

                                        ...มาย่อเป็น ๓ คือ ในกาย...วาจา...และใจ...

                                           ...แล้วย่อมาเป็น ๒ คือ...รูปและ...นาม...

                                ...ย่อมาเป็น ๑ คือ กองสังขารที่เป็น...ปุญญาภิสังขาร...

                               ...เมื่อดับสังขารแล้ว...แปลว่า...ใกล้นิพพานเต็มทีแล้ว...

...พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า" ภิกษุ...ปล่อยวางเสียได้...ไม่ยึดถือด้วยประการทั้งปวง...ก็จะได้ชื่อว่า...

สำเร็จกิจในศาสนา "

...ถ้าเราปล่อยวางร่างกายเสียได้...

...เมื่อร่างกายเราเป็นอะไร...เราก็มิได้เป็นเช่นนั้น...

     ...เมื่อร่างกายเราเจ็บ...เราก็มิได้เจ็บด้วย...

     ...เมื่อร่างกายเราแก่...เราก็ไม่ได้แก่ด้วย...

    ...เมื่อร่างกายเราตาย...เราก็มิได้ตายด้วย...

...และเราก็จะได้พ้นความเป็นผี...เป็นศพ...ได้ตลอดกาล... 


                                              ร่างกายเรา         เป็นอะไร           ไม่เป็นด้วย

                                          ร่างเจ็บป่วย            เราก็เฉย            ละเลยเสีย

                                          ครั้นร่างแก่              เราไม่แก่           เราไม่เพลีย

                                          ไม่ละเหี่ย                กับความตาย     ในร่างกาย


              เราปล่อยวาง        ร่างกาย                 ได้เช่นนี้

             เราจะพ้น               ความเป็นผี             ที่โง่เขลา

             เราปล่อยวาง         ไม่ยึดถือ                แย่งยื้อเอา

             ตัวของเรา              สำเร็จแล้ว             แคล้วจากมาร


...จากบทความของ...พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม...24 ต.ค.31...



  



วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พระเจ้าจริงๆนั้นไม่มี...สิ่งนั้นคือนามธรรมนั่นเอง

     พิภพที่เราอยู่นี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครจะรู้แน่แท้จริง...ถ้าจะกล่าวตามหลักทางพุทธศาสนา
ก็จะต้องว่า...โลกเรานี้ผ่านการเจริญๆเรื่อยๆมาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน [ ภัทรกัปป์และวิภัทรกัปป์ ]...
ถึงกับมีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า...
...นัตถิโลเก อนามตังแปลว่า สถานที่สัตว์ไม่เคยตายไม่มีในโลก...เป็นความหมายว่า...คนเรานั้นได้เคยตายๆ เกิดๆ ซ้ำๆซากๆ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน...
     ตามหลักดาราศาสตร์ [ Astronomy ] ได้พบว่า...โลกของเรานี้ แตกออกมาจากกลุ่มหมอกเพลิง...
อันมิอยู่ในเวหาอันเวิ้งว้างนี้...เมื่อประมาณ ๒ ล้านปีมาแล้ว...ฉะนั้นเรื่องการที่มีพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก...
นั้น...จึงเป็นเรื่องที่หาเหตุและผลไม่ได้...

   

จันทากุมารี เกิดในแคว้นแคชเมียร์ประเทศอินเดีย...เป็นผู้หญิงที่เคร่งในศาสนา นั่งสมาธิทุกวัน...
ต้องการจะเห็นพระผู้เป็นเจ้า...เพราะมีความเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลก และสิ่งทั้งปวงในโลก
โชควาสนา ทุกข์สุขก็สุดแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานให้...พออายุ ๒๐ ปีก็ได้ตายจากโลกนี้ไป
โดยเป็นลมไป ไม่ได้เจ็บป่วยแต่อย่างไร...การตายนี้เป็นการตายแบบที่มีจิตใจสบาย เพราะจิตใจนึกถึง
แต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น...

     หลังจากตายแล้วก็รู้สึกตัวว่า...มีร่างกายเป็นปกติ...และรู้ตัวว่าได้ตายไปแล้ว...ไม่เป็นห่วง ไม่อาลัย ไม่เสียใจ แต่อย่างใด...ตายไปแล้วก็ได้ไปอยู่ในสวรรค์ทันที...
...แต่ตัวจันทากุมารีได้บอกว่า...ตั้งแต่ตายจากโลกมนุษย์มาจนถึงบัดนี้ [ตายจากโลกมนุษย์มา ๔๐ ปี
แล้ว] เธอยังไม่เคยได้พบพระผู้เป็นเจ้า ดังที่เธอเคยนึกวาดภาพ หรือเข้าใจมาแต่ก่อนเลย...เมื่อได้มาพบ
ท่านผู้รู้ทั้งหลายในโลกทิพย์ เลยเป็นที่เข้าใจว่า...

     พระเจ้าต่างๆอย่างที่คนฮินดูทั่วไปนับถือนั้น...ไม่มีตัวตนที่แท้จริง...แต่ก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก
ในการที่ผู้นำในศาสนาได้รู้จักเอาสื่งที่เป็นคุณธรรมความดีต่างๆ...ซึ่งเป็น นามธรรม เอามาสร้างเป็นตัวบุคคลเพื่อให้ยึดถือเอาเป็นที่พึ่ง...สำหรับคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องนามธรรม...โดยไม่อาจจะยึดถือสิ่งที่เป็น
นามธรรมมาเป็นที่พึ่งได้...ประการสำคัญก็คือ...เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยยกวิญญาณของคนเราให้สูงขึ้นนั่นเอง...

จากการติดต่อทางสมาธิ ของคุณศรีเพ็ญ [สำนักวิญญาณ] บางลำภู...๑๓ ก.ค. ๒๕๓๓...