วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พรสวรรค์และพรแสวง



Photo Cube Generator

     ...ในระบบโหราศาสตร์ทุกระบบ...ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ไทยหรือ...โหราศาสตร์สากล...จะมีองค์
ประกอบที่สำคัญอยู่ ๓ ประการก็คือ...

๑.จักรราศี
๒.ดาวพระเคราะห์
๓.เรือนชาตา

     ...ส่วนประกอบทั้ง ๓ ประการนี้ี...จะมีความหมายและหลักในการใช้เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบใด...แต่ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ระบบนั้น...บางระบบอาจจะสนใจเฉพาะการผสมกันระหว่าง...
ดาวพระเคราะห์กับเรือนชาตาหรือ...ดาวพระเคราะห์กับดาวพระเคราะห์...ส่วนระบบยูเรเนียนบางระบบ
สนใจเฉพาะการผสมกันของเรือนชาตากับดาวพระเคราะห์...เหมือนกับโหราศาสตร์ไทยทั่วๆไป...แต่ก็
มีบางระบบที่ใช้การผสมรวมกันทั้ง...จักรราศี...ดาวพระเคราะห์...และเรือนชาตา...ทั้งหมดเลย...

   ...วิชาโหราศาสตร์นี้เป็นทั้ง"ศาสตร์"และ"ศิลป์"ซึ่งรวมอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ออก...มิใช่ว่าการเรียนรู้
โหราศาสตร์จนจบทฤษฎีแล้วนั้น...จะสามารถทำนายทายทักผู้คนได้อย่างแม่นยำและเฉียบขาด...เพราะ
ความหมายของดวงดาว...เรือนชาตา...จักรราศี...มีความลึกซึ้งเกินกว่าที่ทุกคนจะเรียนรู้ได้แตกฉาน...
ได้ในเวลาอันสั้นๆ...เพียงไม่กี่วัน...ไม่กี่เดือน...หรือว่าเป็นปี...ทุกคนจะต้องมีความเข้าใจก่อนเป็นพื้นฐาน...และที่สำคัญคนที่จะทายดวงชาตา...อนาคตได้แม่นยำนั้น...ต้องมีสิ่งหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้คือต้องมี "ญาณ"...หยั่งรู้ที่มีมาแต่กำเนิดด้วย...

   ...โหราจารย์แต่โบราณสามารถทายอนาคตได้อย่างแม่นยำ...น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก...เช่นท่านโหรญาณได้เคยทายกับเพื่อนโหรด้วยกันว่า"ขุดลงไปตรงนี้...จะมีปลาอยู่ ๔ ตัว"ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้แต่พอ
ขุดลงไปจริงๆกับปรากฏว่ามีปลา ๔ ตัวอยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆในดินตรงนั้นจริง...? อีกท่านหนึ่งคือ...ท่านขุน
ชอบ...ปรมาจารย์วิชา ๑๐ ลัคนา...ท่านพูดกลับคนสนิทว่า"วันนี้มีเคราะห์...คิดว่าจะไม่ออกไปข้างนอก"
กล่าวจบท่านก็เดินขึ้นบันไดไปบนบ้าน...ปรากฏว่ากระดานผุ...ทำให้ร่างของท่านล่วงลงมา ๒ ขั้นบันได...บาดเจ็บเล็กน้อย...ท่านก็บ่นพึมพำขึ้นมาว่า"ขนาดรู้ว่ามีเคราะห์ อยู่บ้านแท้ๆยังโดนจนได้นะนี่"

   ...อ.พลูหลวงเคยเล่าในบทความท่านว่า...มีเพื่อนโหรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ อ.สังข์ [ถ้าผมจำไม่ผิดนะ]
ทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำกล่าวคือ...อ.สังข์มาที่บ้าน อ. พลูหลวงมองไปที่ตู้โชว์มีกล้องถ่ายรูปวางอยู่ ๑ ตัวแต่ท่านกลับกล่าวขึ้นมาว่า"ต่อไปในอนาคต...คุณจะมีกล้องทั้งหมด ๙ ตัว..."ในตอนนั้นท่าน...
อ.พลูหลวงก็ได้แต่นึกแปลกใจเท่านั้นเอง...แต่กาลต่อมาอีกหลายปี อ.สังข์ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วท่าน
ก็มีกล้องถ่ายรูปอยู่ในตู้โชว์ ๙ ตัวจริงตามคำทำนายของ อ.สังข์...จริงทั้งหมด...

   ...ผู้ศึกษาโหราศาสตร์ที่ไม่มี...ญาณพิเศษ...ก็ไม่ต้องตกใจนัก...เพราะญาณก็คือ"พรสวรรค์"ส่วนความขยันก็คือ"พรแสวง"นั่นเอง...ในเมื่อเราไม่มี...พรสวรรค์...เราก็ต้องยึดมั่นในบทวิชาต่างๆเรียนรู้
และซ่อมแซมส่วนที่ขาดตกบกพร่องของเรา...เช่นพยายามรวบรวมสิถิติ...แสวงหาตำราจาก อ.ต่างๆ
ที่ทรงคุณวุฒิฯมาเสริมให้รัดกุมขึ้นมาอีก...การที่คนเราจะเรียนวิชาโหราศาสตร์ในตำราต่างๆซึ่งแตกต่าง
สำนักกันไม่ใช่เรื่องต้องห้าม...วิชาโหราศาสตร์จาก อ.ผู้ทรงคุณวุฒินั้นล้วนมาจากรากฐานเดียวกันทั้งสิ้น...เพียงแต่แตกต่างออกไปจากกันบ้าง...แต่ยังคงไม่ทิ้งของเดิมที่ได้ศึกษากันมาแต่แรกเริ่ม...
   
   ...เปรียบเทียบกับวิชาของเสียวลิ้มยี่ซึ่งเป็นวิชาหลักๆมาตราฐาน...แต่ก็มี อ.หลายๆท่านออกไปตั้งสำนักใหม่ขึ้นมา และคิดค้นวิชาประจำสำนักขึ้นมาใหม่...แต่ก็แตกขยายมาจากพื้นฐานเดิมทั้งสิ้น...เช่นท่านเตียซำฮง...ปรมาจารย์บู๊ตึ๊งก็มาจากเสียวลิ้มยี่...ท่านก๊วยเซียงปรมาจารย์ง่อไบ๊ก็มาจากรากฐาน...
ของเสียวลิ้มยี่เช่นกัน...หากเรียนรู้วิชาต่างๆได้ครบสิ้นเวลาออกรบ...ก็สามารถใช้ได้ทั้ง...มีด...ดาบ...
หอก...ธนู...ปืนฯลฯแล้วแต่จะหยิบฉวยอะไรได้ก่อน...ดังนั้นเวลาดูดวงชาตาผู้คน...สามารถหยิบฉวย
วิชาของ อ.ต่างๆมาใช้ได้ทันท่วงทีไม่มีการอับจนอย่างเด็ดขาด...

   ...สรุปได้ว่า...ในเมื่อเราไม่มี...พรสวรรค์...เราก็ต้องขวนขวายให้มี...พรแสวง...ให้จงได้...แต่ถ้าผู้ใด
มีทั้ง...พรสวรรค์และพรแสวง...ทั้ง ๒ อย่าง...จัดเป็นสุดยอดโหราจารย์ในทางโหราศาสตร์อย่างแท้จริง
คือมีทั้ง ๓ ภาคของโหราศาสคร์ครบถ้วนคือ...
๑.ภาคคำนวณ
๒.ภาคพยากรณ์
๓.ภาคพิธีกรรม
...ท่าน อ.โหรที่สมบูรณ์เพียบพร้อมจน ท่าน อ.ส.ไชยนันท์ได้ตั้งฉายาชื่อว่า"วิญญาณโหราศาสตร์"
...โหราจารย์ท่านนั้นก็คือ...อ.พลูหลวง...ผู้ล่วงลับไปแล้ว...นั่นเอง...และท่าน อ.ส.ไชยนันท์ย่อมเป็น
วิญญาณโหราศาสตร์ด้วยเช่นกัน...เปรียบดัง...พระอรหันต์ด้วยกัน...ย่อมรู้วาระจิตซึ่งกันและกัน...
...เป็นเช่นนี้อย่างแน่แท้...แล้วพบกันใหม่...สวัสดีครับ...



วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บุหรี่นั้นสำคัญไฉน?



               ...จากบทความของบิดาข้าพเจ้า...พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม...เรื่องมีดังต่อไปนี้...

...ในอดีตกาลที่ผ่านมา...หลังจากที่่ได้มาเรียนต่อที่จังหวัดพระนครในสมัยโน้น...บ้านที่มาอาศัยเรียนหนังสือตอนนั้นเป็นบ้านของท่านเจ้าคุณฯ...ซึ่งคุณหญิงของท่านมีศักดิ์เป็นญาติผู้ใหญ่ของผม...
ตอนนั้นผมมีอายุได้เพียง ๑๗ ปี...มีผู้คนอยู่ในบ้านหลังนี้หลายคนมีลูกมีหลาน มีคนใช้ คนขับรถ แม่ครัว...กะดูประมาณ ๒๐ คนเศษ...ข้อสำคัญก็คือผู้คนในบ้านนี้ส่วนมากสูบบุหรี่แทบทุกคน...เพราะทุกๆมุม...ของบ้านนี้มีแต่บุหรี่วางไว้เกะกะ...ใส่กล่องก็มี...บรรยากาศของบ้านนี้อบอวลไปด้วยควันบุหรี่...เหตุที่บ้านนี้ฟุ่มเฟือยไปด้วยบุหรี่ก็เนื่องจากท่านเจ้าคุณฯ บ้านนี้ท่านเป็นเจ้าของโรงงานยาสูบในสมัยนั้นเองฉะนั้นบุหรี่ตราต่างๆจึงได้ส่งทะยอยมาที่บ้านตามธรรมเนียม...

...สรุปแล้วผมก็เลยต้องสูบบุหรี่ไปด้วยโดยทางปริยายเพราะเป็นการสูบที่ไม่เสียเงินเลย...และจากนั้น
เอง...การสูบบุหรี่นี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปอย่างเรียบร้อย...โดยไม่มีทางแก้ไข้ได้เลย...ในระหว่างอยู่ ร.ร.นายร้อยก็สูบได้โดยไม่มีใครว่า...การสูบบุหรี่จำเริญรุ่งเรืองไปเป็นลำดับ...
ไม่มีการทรุดโทรมแต่อย่างใร...มีแต่วันที่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ...ออกจาก ร.ร.นายร้อยเป็นร้อยตรี...ก็มี
เงินใช้อยู่แล้ว...จึงสูบต่อไปด้วยความสม่ำเสมอ...จากหนึ่งซองบางวันถึง ๓ ซองก็ยังได้...สงคราม...
โลกครั้งที่สองเลิกแล้ว...แต่ผมก็ยังไม่เลิกบุหรี่...ครับ...จาก ร.ต.ต.จนถึงพล.ต.ต....กี่ปีแล้ว...บวก
ไปบวกมาก็ได้ ๓๐ กว่าปีแล้ว...

...ตับไตไส้พุงปอดหัวใจ...เครื่องในทั้งหลายในร่างกายผมเคลือบไปด้วยควันบุหรี่เข้าไปอบเป็นการ...
เรียบร้อยสมบูรณ์แบบ...โรคต่างๆ ติดตามกันมาเป็นขบวน...โรคหวัดที่เป็นไม่รู้หาย...โรคที่คอ...โรค
เกี่ยวกับตาฯลฯ อัดอยู่ในร่างกายหนาคืบยาว ๑ วาผมอย่างเพียบพร้อม...โดยเฉพาะเรื่องเสลดนี้แก้ไม่
หายเลย...เสลดเป็นของประจำตัวมาโดยตลอด...มีโอกาสที่จะได้ขากทั้งวันไม่เคยหมด...ผมมานั่งคิด
ดูว่า...เสมหะหรือเสลดนี้ถ้าหากเอามาเก็บรวบรวมไว้ตั้งแต่ได้เคยถ่มออกจากปากมาจนบัดนี้...คงจะ
เก็บไว้ได้หลายแท็งค์น้ำเก็บน้ำฝนอย่างแน่นอน...เรื่องเสลดหรือเสมหะนี้เป็นเมือกข้นชนิดหนึ่งออก
มาจากลำคอหรือลำไส้โดยการขับมาจากเยื่อบุของปอด...ซึ่งได้เกิดความระคายเคืองขึ้น...เป็นความ
รู้ที่ได้จากหมอเขาบอกมา...โดยเฉพาะบุหรี่เป็นต้นเหตุในเรื่องนี้...

...สรุปแล้วผมสูบบุหรี่มาอย่างโชกโชนนั่นแหละ...เคยคิดอยากจะเลิก...อยากจะหยุด...แต่เจ้าตัว...
มิจฉาทิฐิหรืทิฐิมานะยังแข็งกล้าอยู่โดยคิดว่าไม่เป็นไรๆอยู่ตลอดเวลา...จนกระทั่งวันหนึ่ง...จำได้
อย่างแม่นยำว่าเป็นวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๑๙ ผมมีเรื่องที่จะต้องไปเป็นกรรมการสอบสวนกับรอง
ปลัดกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น...ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกรณีพิพาทที่ดินที่จังหวัดพิษณุโลก...
ระหว่างนั่งซักพยานอยู่นั้นเอง...ก็เกิดการไอและจามขึ้นอย่างกระทันหัน...ผมขออนุญาตท่านประธาน
กรรมการออกมานอกห้อง...การจามและการไอก็ยังไม่ทุเลา...น้ำมูกไหล...น้ำตาไหล...บางครั้งขณะไอนั้นถึงกับหายใจไม่ออก...เพราะจะต้องอั้นลมหายใจไว้...

...เจ็บบริเวณคอและที่ท้องอย่างรุนแรง...เข้าใจว่าประมาณ ๕ นาทีเศษ...ได้มีผู้เอายาเม็ดแก้ไอกับน้ำร้อนมาให้รับทาน ซึ่งทำให้การไอและจามนั้นค่อยทุเลาไปได้ครู่หนึ่ง...หลังจากนั้นการสอบสวนซึ่งได้
สอบพยานเรียบร้อยแล้วเสร็จพอดี...ผมเลยถือโอกาสลากลับมากองบัญชาการสอบสวนกลางทันที...
เพราะรู้สึกเพลียมากเหมือนกัน...





...ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องทำงานที่กองบัญชาการสอบสวนกลางนั้นเองผมได้มานั่งคิดดูว่า...เหตุที่เกิดการไอและจามอย่างรุนแรงนั้นก็เพราะบุหรี่นี่เป็นต้นเหตุ...ถึงคราวแล้วที่จะเลิก...ในความรู้สึกนั้นเอง
ก็บอกว่า..เลิกเสียเถิด...เลิกเสีย...ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวของเรา...ครับ ผมตกลงใจอย่างเด็ดขาดเลิกเสีย...ผมเอาบุหรี่ที่เหลือแจกพวกตำรวจในที่ทำงานทันที...เมื่อกลับมาถึงบ้านก็บอกแม่บ้านว่าได้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเลิกบุหรี่แล้ว...เหตุการณ์ต่อมาหลังจากรับประทานอาหารแล้วตามปกติจะต้องสูบแต่ผมไม่สูบ...ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้...พออยากจะสูบจริงๆ...ก็คิดทันทีถึงวันที่ไอและจามอย่างรุนแรงในวันนั้น...พอคิดขึ้นมาทีไรความอยากสูบก็หายไปอย่างกับปลิดทิ้ง...ผมก็ปฏิบัติเช่นนี้มาเรื่อยๆ
เพื่อนฝูงสิงห์อมควันทั้งหลายพากันตื่นเต้นและแปลกใจเป็นที่สุด...ไม่เชื่อว่าผมจะเลิกบุหรี่ได้อย่างเด็ดขาด...เพราะตามสิถิติที่มีมาแล้วปรากฏว่าบางคนเลิกสูบมาได้หลายเดือนแล้ว...กลับหวนมาสูบอีกก็มี...เพื่อนฝูงของผมคงจะเป็นแบบนั้นกระมัง...แต่สำหรับผมนั้นเป็นที่น่ายินดีว่า...ผมเลิกสูบอย่าง
เด็ดขาดแล้วจริงๆ...

...ผมมานั่งคิดดูว่าถ้าหากผมไม่ได้ไปเป็นกรรมการสอบสวนที่กระทรวงมหาดไทยในวันนั้นแล้ว...
จะมีเหตุการณ์ใดให้ผมได้เลิกบุหรี่หรือเปล่าผมก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน...ก็นับว่าเป็นกรรมดีอันหนึ่ง
ที่จะมากระทบให้ผมต้องเลิกบุหรี่...กรรมนั้นก็ลิขิตให้เป็นไปได้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปสอบสวนที่กระทรวงมหาดไทยในวันนั้นก็ตาม...ก็อาจจะมีเหตุอื่นๆ เกิดขึ้นแทนก็ได้...ผมคิดถึงเรื่องกรรมที่จะ
บันดาลให้เป็นไปมากกว่า...เรียกว่าผมก็ยังมีกุศลผลบุญกับเขาอยู่บ้าง...แต่ว่าอย่างไรก็ตามร่องรอย
ของคราบควันบุหรี่ก็ยังฝังอยู่ในร่างกายของผมอีกเป็นจำนวนไม่น้อย...ซึ่งต่อไปผมจะได้เล่าให้ฟังว่า
มันได้ไปเกิดผลอย่างไรขึ้นกับตัวผมบ้างในภายหลัง...

...เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งในอีกหลายๆเรื่องซึ่งผมคัดลอกมาจากหนังสือชื่อว่า...
"เพียงตำรวจคนหนึ่งเท่านั้นเอง"ของ พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคมซึ่งเป็นบิดาของผม...ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่สนุกและน่าอ่าน...และผมจะนำมาเสนออีกในคราวต่อไปครับ...