วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

สิ่งอัศจรรย์ใจจาก ล.ป.บุดดา ถาวโร








... เรื่องที่ ๑ ... เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ...


... ในช่วงปี ๒๕๓๕ ... ค่ำคืนวันหนึ่ง มีคนมาถ่ายทำภาพอริยาบทต่างๆของ ล.ป. บุดดา 
ในวันนั้นอากาศค่อนข้างอบอ้าว ...ร้อนเอาเรื่อง คณะถ่ายทำยังได้นำสปอทไลท์ มาอีก
ด้วย จึงทำให้เพิ่มอุณหภูมิความร้อนเข้าไปอีกเท่าตัว ... ผมมองไปทางหลวงลุงเห็นเหงื่อ
เม็ดเป้งๆ ขึ้นอยู่เต็มใบหน้าท่าน เหลียวมองไปทางพระที่มาสัมภาษณ์ ก็เห็นเหงื่อไหลออก
มาเต็มตัวท่านเช่นเดียวกับหลวงลุง...ผมก็ภาวนาให้สัมภาษณ์เสร็จเร็วๆ พระท่านจะได้ ...
คลายร้อนกันได้บ้าง ...


... พอนึกมาถึงตอนนี้ก็นึกสงสารหลวงปู่บุดดา ว่าท่านก็คงจะร้อนไม่แพ้กันแน่ๆ จึงมองไป
ที่ใบหน้า ล.ป. บุดดา ...ในนาทีนั้นผมกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเห็นด้วยตา
เปล่า...ว่าบนใบหน้าของ ล.ป.ไม่มีเหงื่อผุดขึ้นเลย...สักเม็ดเดียวก็ไม่มี ...? ใส...เนียน มีแต่
คราบแป้งติดอยู่มองลงไปตามตัวท่านก็ไม่เห็นริ้วรอยของเหงื่อแม้แต่หยดเดียว ... 
ในขณะนั้นเหงื่อของผมเองต่างหากที่ผุดขึ้นมาเป็นระลอกๆ ... จนชุ่มหลังไปหมด ...


... ผมเป็นคนขี้สงสัย ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ทางด้านข้างของ ล.ป. บุดดา ...แล้วเอื้อมมือ
ไปสัมผัสกับแขน ล.ป. ปรากฏว่าเหงื่อ ล.ป.ไม่มี แม้แต่น้อยนิด ... ทันใดนั้น ล.ป.ก็หันมายิ้ม
กับผมชั่ว ๓ วินาที ...แล้วจึงเบือนหน้ากลับไปที่เดิมของท่าน ...ในสายตาของ ล.ป.บุดดา
ฉายแววเมตตาและอ่อนโยน เหมือนท่านรู้วาระจิตผมว่าตอนนั้นคิดอะไรในใจอยู่ ...สรุปก็
คือ ร่างกายของ ล.ป.สามารถปรับอุณหภูมิได้เอง ไม่มีร้อนไม่มีหนาว ... 








... เรื่องที่ ๒ ... รับรู้วาระจิตระยะไกล ...


... เมื่อตอนงานวัดเกิด ล.ป. บุดดา อายุครบรอบ ๙๙ ปี ผมก็ได้ไปที่วัดกลางชูศรี ฯ ... ระหว่าง
ที่เดินอยู่ที่บริเวณศาลาการเปรียญ หลังที่ ๒ ตรงนั้นผมเห็นมีนาฬิกาเป็นรูป ล.ป. อยู่จำนวนหนึ่ง
จึงเดินเข้าไปดูเห็นสวยดี...ระหว่างที่จับยกขึ้นดูนั้นก็คิดแว๊บนึงขึ้นมาว่า ...
" ตอนนี้ ล.ป.อยู่ที่ศาลาคนละหลังกัน เราจะลองขอนาฬิการูป ล.ป.นี้ และจะขอเผื่อไปฝากคุณพ่ออีกอัน ลองดูซิ ล.ป.มีเจโต ฯ จะได้ยินที่เราขอใหม?...เอ่ย... " 


พอคิดเสร็จได้ประมาณ ๕ วินาที ... หลวงลุงก็เดินตรงมาหาผมทันทีแล้วกล่าวว่า ...
" โยมเอ็กซ์ ชอบมั๊ย ...รูปปู่ในนาฬิกานี่ทำไว้แจกพระผู้ใหญ่ที่มาในงาน โยมอยากได้ก็หยิบ
เอาไปเลยเดี๋ยวหมดแน่ๆ ... อ้อเอาไปฝากโยมพ่อด้วยอีกหนึ่งอันด้วยละ..." 
... ผมได้ฟังหลวงลุงพูดออกมาดังนี้ ก็มีอาการขนลุกขนชันขึ้นมาในทันที คิดในใจว่า ...ชรอย
ล.ป.กลัวไม่ทันการจึงดลจิตถ่ายทอดคำสั่งไปที่หลวงลุงเป็นแน่แท้ ไม่ต้องสงสัย ...
ว่าแล้วผมก็รีบกล่าวคำขอบคุณหลวงลุง และหยิบนาฬิการูปปู่ ๒ อันทันที ...






... เรื่องที่ ๓ ... ตาทิพย์ สั่งสอนคนทุศีล ...


... ณ.ศาลาที่บูชาวัตถุมงคลของ ล.ป.บุดดา ที่วัดกลางชูศรีฯ ตอนนั้นผมก็ยืนช่วยพระ
ท่านจัดวัตถุมงคลให้กับญาติโยมที่มาบูชา  วันนั้นคนมากันเยอะมาก แน่นศาลาไปหมด
จะว่าเป็นวันงานสำคัญก็ไม่ใช่ เป็นแค่วันหยุดธรรมดา  ในกลุ่มผู้ที่มาเช่าบูชาวัตถุมงคล
มีอยู่พวกหนึ่งที่มีพฤติกรรมแปลกๆ  วนเวียนเข้ามาบูชา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าเดิมๆ แต่เช่า
ทีละองค์ ๒ องค์ ดูมั่วไปหมด ...มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก ...


... ผมช่วยอยู่ซักพักใหญ่พอเห็นว่าผู้คนเริ่มซบเซาลง ก็เดินมาที่ศาลาหน้าห้องนอน ล.ป.
บุดดา ... เห็นญาติโยมกำลังเข้าไปให้ ล.ป.ให้ศีลให้พร ...ผมก็เดินไปนั่งข้างๆท่าน ช่วย...
หยิบและยกของที่คนมาบริจาคให้ ... ส่วนใหญ่ ล.ป.จะเคาะแป้งเสกให้กับผู้ที่มาหา ...
แต่แล้วก็มีอยู่ราย เป็นผู้หญิง พอเข้ามาหา ล.ป.ท่านก็เทแป้งให้ที่มือแต่แป๊บเดียวก็เปลี่ยน
ไปละเลงให้ที่ศรีษะ แถมโขกแป้งไปที่ศรีษะไปมาอยู่หลายครั้ง พร้อมกับดุออกมาว่า ...
" พวกนี้ไม่รู้จักเกรงกลัวบาป ของๆวัดยังไม่ยอมละเว้นกัน มันน่าละอายยิ่งนัก " ...


... ผมดูหน้าผู้หญิงคนนั้นรู้สึกคุ้นๆ และแล้วก็จำได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับพวกที่มาบูชาวัตถุ
มงคล ที่ศาลาที่ให้บูชาวัตถุมงคลนั่นเอง ผมประมวลภาพแล้วคิดขึ้นมาได้ว่า ...ชรอย
บุคคลเหล่านี้คงทำการโจรกรรมวัตถุมงคลตอนที่คนมาบูชากันอยู่คับคั่งในตอนนั้นกระมัง
และ ล.ป.ท่านล่วงรู้ได้ด้วยวิชา ทิพยจักษุญาณ ... เพราะเคยได้ยิน ล.ป.เคยบอกว่า ... เมื่อ
เวลาคนเราทำชั่วอะไรมา จะเกิดสีแดงติดมากับตัว ดังนั้นพระเกจิอาจารย์ที่มี ... ตาทิพย์
ย่อมมองเห็นสีต่างในตัวมนุษย์ในยามที่เพิ่งทำดีมา หรือเพิ่งทำชั่วมา ได้อย่างแน่นอน ...


... พักใหญ่ ล.ป.ก็กลับเข้าไปในห้องนอน ซึ่งก็ยังมีผู้คนตามไปขอพรกันอีกเหมือนเดิม ...
ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งส่งวัตถุมงคลถุงใหญ่มาเพื่อจะให้ ล.ป.เสก พอเห็นหน้าผูหญิงคนนั้น 
ล.ป.ก็จับแป้งเสกโขกไปที่ศรีษะ อย่างไม่หยุดยั้ง และปล่อยกระป๋องแป้งเสกไปที่ผู้หญิง
คนนั้นอย่างแรง ...พร้อมกับกล่าวออกมาว่า " โกงของวัด ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด "
ผมมองหน้าผู้หญิงคนนั้นก็พลันจำได้ว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนที่โดนเขกหัวอยู่หน้าห้อง
ล.ป. นั่นเอง ไม่ผิดตัว ...







... พลังเมตตาแป้งเสก ล.ป.บุดดา ...


...เมื่่อประมาณปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ในตอนนั้ั้นผมเล่นดนตรีอยู่ที่ "ปิกาซัส"ถนนสุขุมวิทย์...เมื่อเลิกจากงานในตอนตี ๑...หลังจากได้กินอาหารรอบดึกเสร็จสรรพ ผมก็จะเดินทางไปหา ล.ป.บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี...เจริญสุข...แทบทุกคืน...สมัยนั้นหนทางค่อนข้างทุรกันดาร ลำบากอยู่พอควรแต่เนื่องจากมีความศรัทธา...และมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปหาล.ป.บุดดาซึ่งเป็นที่เคารพรักของผม......ผมจึงเดินทางไปกราบคารวะท่านอยู่เป็นประจำ...


     มีอยู่ครั้้้งหนึ่งได้เดินทางไปเยี่ยมท่านที่สิงห์บุรีตามปกติ...ไปถึงที่วัดก็ประมาณ ตี ๔-๕ เพื่อช่วยเช็ดตัวล.ป.บุดดา...โดยปกติล.ป.ท่านจะไม่สรงน้ำ...นอกจากเช็ดตัวเท่านั้น...ในวันนั้นผมอยู่ที่วัดจนกระทั่งถึงเวลา๑๔ น.เศษก็เข้าไปกราบลาล.ป. ได้แป้งเสกของท่่านมา ๑ กระป่อง และท่านก็เทแป้งใส่มือผมอีก...

ผมก็เอาผัดหน้าตัวเองจนหน้าขาวว่อง...ระหว่างที่จะเดินทางกลับ...ผมก็บอกพรรคพวกที่
ตามมาด้วยอีก ๔ คนว่าเดี๋ยวจะแวะหาล.พ.แพรที่วัดพิกุลทองซักหน่อยซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย ...


     พอมาถึงวัดพิกุลทอง ปรากฎว่าล.พ.แพรท่านไม่อยู่...พวกผมก็เลยแวะเข้าไปดูที่ห้องวัตถุมงคลของท่าน...ผมได้เช่าบูชาพระรูปหล่อเนื้อเงินไปอยู่หลายองค์...องค์ละ ๔๐๐บาท...แต่ก็ยังมีอีก ๒ องค์ที่ยังอยากได้...แต่กลัวว่าเงินจะไม่พอเติมน้ำมันรถ...แต่มือก็ยังคงกำพระ ๒ องค์นั้นอยู่ไม่ยอมวาง...พระที่ดูแลวัตถุมงคล...เห็นผมลังเลใจอยู่ท่านจึงพูดถามว่า"ทำไมโยมไม่บูชาไปอีกเล่า?"ผมก็ตอบไปว่า"วันหลังผมค่อยมาบูชาใหม่ก็ได้ครับ...เงินหมดพอดี..."พระท่านก็กล่าวว่า
"ไม่เป็นไรหรอกโยม...อาตมาให้...เอาไปเลย"
ผมรู้สึกดีใจและฉงนใจในเวลาเดียวกัน...กล่าวขอบคุณท่าน...


     พอเดินลงมาชั้นล่างก็เหลือบมองเห็นมีที่ให้บูชาหนังสือทำเนียบรุ่นของล.พ.แพรอยู่...จึงเดินไปดูแล้ว...หยิบมาดูเล่นเล่มหนึ่งเป็นปก ๔ สีสวยงาม...เห็นติดราคาค่าบูชาอยู่ ๑๒๐ บาท...มองอยู่อึดใจหนี่งคิดได้ว่าเงินไม่พอบูชาแน่...จึงจับหนังสือวางลงไปในที่เดิม...และจะเดินออกมา...ทันทีทันใดเด็กที่ดูแลอยู่กล่าวว่า...

"พี่ไม่ชอบหนังสือหรือครับ?"
ผมตอบว่า"ชอบซิน้อง...แต่เงินพี่หมดพอดี..."เด็กตอบว่า"พี่เอาไปเลย...ผมให้..."พร้อมกับส่งหนังสือให้...

ผมก็รู้สึกแปลกใจ...รับหนังสือไว้...แล้วก็กล่าวขอบใจเด็กไป...เดินทางกลับกรุงเทพ...


     ระหว่างเดินทางกลับ...พอไปได้ซักพักหนึ่ง...ก็ได้เห็นรถยนต์คันหน้าชนสุนัขกระเด็นไปข้างทางนอน...แน่นิ่งไม่ไหวตัว...แล้วก็ขับรถจากไปโดยไม่เหลียวแลมันเลย...ชาวคณะผมเป็นคนรักสัตว์อยู่เป็นทุนเดิม...ก็เลยจอดรถยนต์...และลงไปดูอาการ...เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง...แว๊บนึง...ผมได้คิดว่าแป้งเสกของล.ป....คงจะช่วยอะไรได้บ้าง...ไม่มากก็น้อย...จึงคว้าหยิบลงไปด้วย...

     พอไปถึงที่เกิดเหตุ...ก็เห็นสุนัขตัวนั้นนอนแน่วนิ่งไม่ขยับตัวเลยซักนิด...ผมก็เลยเอาแป้งที่หยิบลงไป...โรยไปที่ตัวมันอยู่ประมาณ๕-๑๐วินาที...และแล้วทันใดนั้น...มันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา...แล้วค่อยๆเดินเหยาะ...เข้าไปที่ข้างทางช้าๆจนลับตาไป...ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกเราทุกคน...

ผมจึงตระหนักได้ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้...ล้วนเกิดขึ้นจากพลังเมตตาแป้งเสกของ...ล.ป.บุดดา...อย่างแน่แท้...และแน่นอน...










... ผมเคยถาม ล.ป.บุดดา ว่า ... " ถ้าจะไปเชียงใหม่ ล.ป.จะไปแบบไหนครับ ... " 
ล.ป.ตอบว่า " ก้าวเดียวก็ถึง " 
... ผมถามต่อว่า " ไปยังไงครับ " 
... ล.ป.เงียบไม่ตอบ หัวเราะหึๆ ...


... ปริศนาธรรมหลวงปู่ บุดดา ...

... มีอยู่วันหนึ่งที่ผมนอนอยู่ในห้องนอน ล.ป.บุดดา ด้วย โดยปกติที่ผมเห็น ล.ป. ไม่ค่อย
ได้นอนหรอก ท่านนอนอยู่ก็จริง แต่ตาไม่หลับ มองไปบนอากาศธาตุ แล้วก๋ให้พรไปเรื่อยๆ
แทบตลอดคืน ที่ผมตื่นมาเห็นท่าน ...คิดเอาเองว่า คงจะมีเทพ เทวาฯ มากราบคารวะ ล.ป.
อยู่ตลอดเวลา ...ทั้งคืน ...

... ในคืนวันนั้น ผมตื่นมาเห็นล.ป.นอนจับผ้าห่มรูดด้วยมือทีละมุม จนครบ ๔ มุม อย่างช้าๆ
ทำอยู่เช่นนั้นเป็น เกือบ ช.ม. ซึ่งเปรียบดั่งเป็นปริศนาธรรมให้ชวนขบคิดว่า ...
... หมายถึง ... อริยสัจจ ๔ ...เกิด แก่ เจ็บ ตาย ฯลฯ เป็นไปได้มากหลาย ...
...ไปจบอยู่ที่คำว่า " นิพพาน " ...
... ยามนั้นก็เข้าภวังค์ ... กายเดียว จิตเดียว ... เข้าสู่สภาวะนิทรา ในบัดดลนั้นเอง ...

... สวัสดี ...


... ลิงค์ไปที่ ...
ประมวลภาพ ล.ป.บุดดา ถาวโร

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

หลวงปู่ต้นบุญ







... ล.ป.ต้นบุญ ...


 ... ป่วยใจ ...


ป่วยใจ รักษากายได้ รักษาใจไม่ได้
ใจยังป่วยกว่ากายเสียอีก
ไม่ว่าเอายาอะไรไปใส่ ก็ไม่พอ

บางทีธรรมะก็ไม่เข้าใจ
ถึงกินพระไตรปิฎกเข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
บางทีธรรมะเล็กๆ สั้นๆ อาจจะช่วยก็ได้
แบ่งแยกให้เป็นสัดส่วน
หากกายเป็นภาระ ก็พัฒนากายเสีย
หากจิตเป็นภาระก็พัฒนาจิตเสีย
หากทั้งกายและจิต
ก็พัฒนาทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน ...
























... ทุกข์มีไว้ให้พิจารณา ให้เรียนรู้ ให้ค้นหา ...


...ที่ดิ้นรนขวนขวายในโลกนีช่างน่าเวทนาเหลือเกิน เรามิปลดปล่อยตัวเรา
แต่เรากับกักขังตัวเราเองไว้   ทุกข์มีไว้ให้พิจารณา ให้เรียนรู้ ให้ค้นหา
มิใช่มีไว้เพื่อทุกข์เพียงอย่างเดียว ...











... คำสอนของหลวงปู่ต้นบุญ ...














... ในส่วนตัวผมเองนั้น มีความเคารพในปฏิปทาของหลวงปู่ต้นบุญมาเนิ่นนานแล้ว ได้เคย

ประสบพบตัวท่านที่กรุงเทพ และได้เคยไปกราบกรานเยี่ยมเยียนท่านที่วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช 

ที่ ...จังหวัดร้อยเอ็ด ...หลายปีผ่านมาแล้ว ...ซึ่งยังอยู่ในความทรงจำอย่างมิรู้ลืม ...

... สวัสดีครับ ...

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

ไปนิพพานแบบโง่ๆ






... ย้อนหลังไปเมื่อ ๓๙ กว่าปีที่แล้ว ราวๆปี พ.ศ. ๒๕๑๙ สมัยนั้น คุณพ่อของผม ...
... พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม ยังดำรงตำแหน่ง จเร ตำรวจอยู่ ... ได้มีพล.ต.ต.สมศักดิ์
ซึ่งเป็นนายแพทย์อยู่ที่ ร.พ.ตำรวจ ในขณะนั้น ได้เล่าเรื่องราวแปลกประหลาดมหัศจรรย์
พันล้นให้คุณพ่อฟังเรื่องหนึ่ง ... เรื่องราวมีดังนี้ ...

... จากปากคำอาสมศักดิ์ ... [ ลูกศิษย์ ล.พ.ฤาษีลิงดำ ]

... มีอยู่วันนึง ผมไปตรวจดูอาการของคนใข้ ปรากฏว่าดูท่าน่าจะไม่รอดพ้นจากความตาย
ภายในอาทิตย์หน้าอย่างแน่นอน ... หน้าตาคนใข้ในตอนนั้นก็หมองคล้ำ ซีดเซียว อิดโรย
เป็นอย่างมาก จึงได้แนะนำให้คนใข้ นึกถึงพระพุทธเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว และให้หารูปพระพุทธเจ้ามาดูไปด้วย พร้อมกับให้ภาวนา พุทโธ ...ซึ่งคนใข้ก็รับปากรับคำเป็นอย่างดี ...

... หลังจากวันนั้นผ่านไปได้ประมาณ ๖ - ๗ วัน พยาบาลก็มาแจ้งผมว่าคนใข้คนนั้นได้เสีย
ชีวิตลงแล้ว ... ผมจึงรีบเดินไปดูอย่างรวดเร็ว พอไปถึงที่เกิดเหตุ ก็เห็นคนใข้นอนสิ้นชีวิต
ด้วยอาการสงบ แต่ที่ผมเห็นว่าผิดปกติ ก็คือ ใบหน้าของคนใข้กับอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล ...
เปล่งปลั่งอย่างเหลือเชื่อ ผิดกับวันที่เห็นในคราวก่อนราวกับ หลังมือเป็นหน้ามือ
 ยังไงอย่างงั้น ...

... ผมก็ได้แต่เก็บอาการ ... สงสัยและประหลาดใจเอาไว้ภายใน...มิได้บอกกล่าวต่อผู้ใด...






... มีอยู่วันหนึ่งได้ไปกราบนมัสการ ล.พ.ฤาษีลิงดำที่บ้านเจ้ากรมเสริม ... พอมีโอกาสก็ได้
ถาม ล.พ.ถึงเรื่องราวของคนใข้ดังกล่าว... ล.พ.ฤาษี รับฟังเสร็จก็หลับตาลงไปชั่วอึดใจ ...
พอลืมตาขึ้นมาก็หัวเราะในลำคอและกล่าวขึ้นมาว่า " มันไปนิพพานแบบโง่ ๆ นะ " ...
... อาสมศักดิ์สงสัยจึงถามขึ้นมาว่า " เรื่องราวเป็นยังไงกันครับ " ...
หลวงพ่อก็ตอบมาว่า " เมื่อกี้ตามไปดู ปรากฏว่าเห็นคนใข้นั่งกราบอยู่ต่อหน้าพระพักตร์
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ...แสดงว่าช่วงเวลาภายใน ๗-๘ วันก่อนสิ้นชีวิต เฝ้าดูแต่รูป
พระพุทธองค์และภาวนา พุทโธ ถึงพระองค์ตลอดเวลา จึงทำให้จิตมีพลังขับดันนำพาให้
มาพบกับพระพุทธองค์ ได้ในที่สุด ..."


... เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ได้ว่า...จิตประหวัดก่อนที่จะสิ้นชีวิตมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ...
คิดแต่เรื่องดีๆ ก็จะนำพาไปสู่ภพที่ดีได้ ... หากคิดแต่เรื่องชั่วๆ ย่อมจะนำพาไปสู่ภพที่...
ต่ำต้อยติดธุลีได้ ...







... ส่วนตัวผมได้พบกับ ล.พ.ฤาษีทั้งหมด ๓ ครั้ง ...ด้วยกัน ...

...เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๑ มีดังนี้ ...


... ตอนนั้นเป็นพ.ศ.อะไรนั้นไม่ทราบแน่ชัด [ ลืมนะซี...ก็ปีนี้ ๖๒ เข้าไปแล้ว ] น่าจะไม่น้อย
กว่า ๓๐ ปีขึ้นไป  ผมเล่นดนตรีอยู่ที่เชียงใหม่ ได้พาพรรคพวกไปกราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ฯ
ซึ่งได้มาจำวัดอยู่ที่บ้านเจ้ากรมเสริมฯ ...ในวันนั้นผู้คนมากมาย ล.พ.ตอนนั้นยังผอม สูงโปร่งอยู่ ท่านนั่งอยู่องค์เดียวที่สนามหญ้าหน้าบ้านเจ้ากรมเสริมฯ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ ...
แต่พอดีเพื่อนผมชื่อเบิ้ม [ มือกลอง ] มีลูกชายชื่อ...เติ้ล...อยากให้ ล.พ.เป่าหัวให้ลูกชาย ...
จึงรบเร้าผมว่า " ทำยังไงดี? ละ...เอ็กซ์..." ผมทนเพื่อนเซ้าซี้ไม่ได้ก็เลยบอกเบิ้มว่า ...
" เอาเจ้าเติ้ลมานี่ี...เดี๋ยวจัดการเอง ..." พอคว้าตัวเจ้าเติ้ลได้ก็จูงตรงรี่เข้าไปหาล.พ.ฤาษีฯ 
ในทันที...


... ในใจ ณ.ขณะนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดกับท่านยังไงดี เพราะพึ่งจะได้มาพบปะ นมัสการท่าน 
ก็เป็นวันนี้นะแหละ...กำลังจูงเจ้าเติ้ลไปเพลินๆ แป๊บเดียวเกือบถึงตัว ล.พ.อยู่แล้ว ห่างอยู่ราว
วาเศษๆ ... หลวงพ่อก็ตะโกนออกมาว่า " อ้าว ! มาทำอะไรกัน ... " 
... ผมยิ้มหวานทำใจดีสู้หลวงพ่อกล่าวว่า " เจ้าตัวเล็กนี่อยากให้ ล.พ.ลงกระหม่อมให้หน่อย
ครับ " ล.พ.เค้นเสียงกล่าวว่า " อุบ๊ะ ... เจ้านี่ มันตื๊อจริงเว่ย " 
...ผมตอบไปอีกว่า " หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ให้ด้วยครับ " พูดไปก็เคลื่อนตัวเข้าไปหา ล.พ.
จนเกือบถึงตัวองค์ท่าน ... ล.พ.บ่นพึมพัมว่า " จนได้นะนี่ " ...


... ผมส่งตัว [ ที่แท้ดันตัวต่างหาก ] เจ้าเติ้ลจนถึงหน้าตักท่านจนได้...ท่านก็เมตตา เป่า ...
กระหม่อมให้เจ้าเติ้ล จนได้ในที่สุด ...เป็นที่ปลาบปลื้มของเจ้าเบิ้มพ่อของมันเป็นยิ่งนัก ...
...แต่ผลที่ตามมาก็คือ บรรดาญาติโยมที่ีมาในงานเมื่อเห็นคณะของผมเข้าไปหา ล.พ.ได้
จึงพากันแห่เข้ามากันเนืองแน่นไปหมด ...

... หลวงพ่อจึงพูดขึ้นมาว่า ...

" เจ้าตัวดี...เป็นยังไงเป็นตัวนำพามาดีนัก ..." 

... ผมตอบว่า " งั้นผมขอรางวัลจากหลวงพ่อ...ครับ " 

...หลวงพ่อพยักหน้าและกวักมือให้เข้าไปหาท่าน ...ผมรีบเข้าไปกราบถึงตัวท่าน ...ท่านพูดว่า

" ต้องให้รางวัลหนักๆหน่อย " พลางคว้าดินสอที่อยู่ใกล้มือท่านเขกหัวผมมาโป๊กใหญ่ แล้ว

ถามผมว่า " เจ็บไหม? ...เอาอีกไหม ?..." ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกล่าวตอบท่านไปว่า ...

" ไม่เจ็บครับ...หลวงพ่อเคาะหัวผมตามสบายเลยครับ ..."

... ท่านเขกลงไปทั้งหมดนับได้ ๕ ครั้ง แล้วหยุุด ...ถามผมอีกว่า " เอาอีกไหม? " 

ผมตอบว่า " แล้วแต่หลวงพ่อพอใจครับ " ท่านเขกต่อมาอีก ๓ ครั้งแล้วก็หยุด ...

แล้วท่านก็พูดมาว่า " เอาพอดีแล้ว " 


... ตกลงวันนั้นเท่ากับว่าผมเป็นคนนำพาญาติโยมทั้งหลายเข้าไปหาท่านจนได้ ...
หลังจากวันนั้นมาไม่กี่วันก็ถึงวันหวยออก เลขที่ออก ๒ ตัวก็คือ ๕๓ ...
...เท่ากับที่ ล.พ.ฤาษีเขกหัวผมพอดี ...แต่ประทานโทษ ไม่ได้ซื้อหรอกครับ [ไม่เคยซื้อ ]
...วันนั้นผมไปกันทั้งหมด ๕ คน ผู้ชาย ๓ คน ... เข้าเค้าอีกละ ...

... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ  ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๑ ...






... เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๒ มีดังนี้ ...

... ในกาลเวลาต่อมาจากคราวที่แล้ว ผมก็ได้มีโอกาสไปนมัสการ ล.พ.ฤาษี กับ คุณพ่อ
ที่บ้านเจ้ากรมเสริม ซอยสายลม ...ในวันนั้นญาติโยม คับคั่ง เพราะเป็นวันที่ ล.พ.ออกจาก
" สมาบัติ " ... พอถึงคิวของผม [ ต่อจากคุณพ่อ ] ผมได้เห็นใบหน้าที่ผุดผ่องของท่าน...
แต่ที่น่าสังเกตุก็คือ ดวงตาของท่านจะเป็นสีแดงสด...ท่านยิ้มให้ผมและกล่าวคำว่า...
" เจริญพร " ในขณะนั้นผมรู้สึกปิติและตื้นตันใจเป็นยิ่งนัก ... กล่าวคำว่า " สาธุ " ออกมา
เบาๆ ได้ยินคนเดียว ...

... พอออกจากห้องนั้นมาก็เดินออกมาทางด้านนอกของตัวบ้าน [ วันนั้นคนเยอะมาก ]
พอดีเห็นกล้องวงจรที่ติดอยู่ ...เกิดแว๊บขึ้นมาว่า ... เราจะกลับแล้วลองกราบลาท่านตรงทีวี
วงจรนี้ท่านจะเห็นเรามั๊ยหนอ ? ... ว่าแล้วก็ยกมือไหว้ที่หน้าทีวีวงจรนั่นเลยละ...ทันใดนั้น
ในภาพที่ผมเห็นก็คือ ท่านหันหน้ามามองกล้องวงจร ...ยกมือขึ้นและกล่าวว่า ...
 " เจริญพรโยม "แล้วท่านก็หันหน้ากลับไปทางเดิม ให้พรญาติโยมต่อไป ...
... ในนาทีนั้นคำว่า " เจโตปริยญาณ " ก็ผุดขึ้นมาในสมองผมในทันที ...


... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ  ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๒ ...









... เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๓ มีดังนี้ ...

... ในกาลเวลาต่อมา ก่อน ล.พ.ฤาษี มรณภาพ ๒ เดือน คุณอา สิทธา เชตวัน ...
[ ในตอนนั้นคุณอายังไม่ได้บวช ] ได้ชวนผมไปเที่ยวที่วัดป่าท่าซุง ฯ เพื่อนมัสการ ล.พ.
ฤาษี ... เมื่อไปถึงก็พบเห็นท่านเจ็บที่ข้อเท้า เพราะบวมมาก และร่างกายท่านตอนนั้นก็
อ้วนขึ้นมาก...เวลาท่านเดินเหินจึงไม่ค่อยสะดวกนัก ...ในวันนั้นผมขออนุญาตท่านถ่ายรูป
ซึ่งท่านก็อนุญาต ผมจึงได้ถ่ายรูปท่านด้วยตนเอง ๒ รูป [ หายังไม่เจอเลยจ้า ... ] หลังจาก
นั้นก็นั่งคุยกับท่านอยู่พักใหญ่ มีอยู่ตอนนึง... ผมถามท่านว่า ...

 " ต่อไปในอนาคต ผมจะบรรลุสู่ ... อริยบุคคล ขั้นไหนครับ ล.พ. " 
ท่านมองหน้าผมแล้วกล่าวว่า " อย่างน้อยก็สกิทาคามีละว่ะ ! "


... พอผมได้ฟังท่านกล่าวอย่างนั้น ให้รู้สึกปลื้มเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังวิจิกิจฉา [ สงสัย ]
คิดในใจว่า... ระดับพระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อ เจอข้อที่ ๑ สักกายทิฏฐิ ยังมึนเลย
นี่ถ้าเราได้ระดับ สกิทาคามี ต้องละสังโยชน์ ๕ ข้อ ไม่ยิ่งหนักข้อ เข้าไปอีกรึนี่ ? ...
แต่คิดไปคิดมา ต้องพยายามเชื่อ ล.พ.ไว้ก่อน จะเป็นต่อกว่า ...พอคิดได้เช่นนั้นจิตใจก็
พลอยสงบลงไปได้อย่างรวดเร็ว ...และนิ่มนวลลง ในที่สุด ...


... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ  ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๓ ...



... ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ...





... สวัสดีครับ ...