วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

นิทานโหราศาสตร์






 ... คัดลอกจากหนังสือ ...สมพงศ์และฤกษ์ ...ของ อ.จำรัส ศิริ ...


... นิทาน ...ลูกศิษย์คิดฆ่าอาจารย์เข้าใจว่ารักไม่เหมือนกัน ...


... เรื่องนี้ผมรับฟังจากอาจารย์ผมท่านเล่าให้ฟัง เรื่องเคล็ดลับ คิดว่าเรายกหัวข้อเขียนกันเบาๆ
สมองก่อนที่จะไปถึงเรื่องหนักสมอง  ถ้าไม่ชอบก็เปิดข้ามไปเถิด แต่คิดว่าอาจให้ข้อคิดแก่ท่าน
ได้ ไม่มากก็น้อย  เรื่องมีว่า ...

...ศิษย์ สองคนเรียนหมอดูมาจากสำนักเดียวกัน  ผมขอสมมุติเพิ่มขึ้นว่า คือคนหนึ่งชื่อหยาบ ...
อีกคนหนึ่งชื่อละเอียด [ ชื่อนี้เดิมไม่มีผมทำขึ้น ] เรียนตำราหมอดูจากอาจารย์จบเสมอกัน ... 
ในท้องคำภีร์ปรากฏว่าคนทั้งสองอยู่ภูมิลำเนาใกล้เคียงกัน ก็ลาอาจารย์กลับบ้านพร้อมๆกันทั้ง
สองคน เดินไปในทางเดียวกัน เมื่อเดินมาตามทางก็มาพบเอารอยปัสสวะของผู้หนึ่ง จึงทดลอง
การพยากรณ์กันขึ้นมา นายหยาบเป็นคนทำนายก่อนว่า " นี่มันลักษณะของผู้หญิงเยี่ยวไว้นี่หว่า "
นายละเอียดรับว่า " เออใช่เยี่ยวผู้หญิงแต่ว่าผู้หญิงมีท้อง " 

...เดินต่อไปก็พบหญิงมีท้องเดินออกหน้าไปไถ่ถามว่า เธอเยี่ยวไว้หรือ ก็ยอมรับว่าเยี่ยวไว้จริง ...
เดินต่อมาพบรอยเท้าช้างเดินไปข้างหน้า ก็เกิดการพยากรณ์กันขึ้นมา ...

...นายหยาบ ว่า " รอยช้างตัวผู้ไม่ใช่ตัวเมีย " 

...นายละเอียด ต่อให้หลังจากพิจารณาแล้ว " ใช่ตัวผู้งามันหักอยู่ข้างหนึ่ง "



...ครั้นเดินต่อไป ก็พบช้างตามลักษณะที่พยากรณ์กัน และถูกต้องที่นายละเอียดว่างาหักข้างหนึ่ง
จริงๆ  อันนี้นายหยาบเกิดความครุ่นคิดว่า เอ อาจารย์เราจะรักเราไม่เท่ากันเสียแล้ว ทีเจ้าละเอียด
ให้เคล็ดทำนายได้ถูกต้องดีกว่าเรา ส่วนเราท่านไม่ให้เคล็ดลับเลย กลับถึงบ้านก็คิดแต่เรื่องอาจารย์
ลำเอียงอยู่เรื่อยไม่เป็นอันกินอันนอน เพราะว่านายละเอียดมีคนนิยมมากกว่า ทำนายได้ดีและถูก
มาก ละเอียดดีกว่า นายหยาบก็คิดจะเป็นเล่นงานอาจารย์ ...

...ฝ่ายอาจารย์เกิดล่วงรู้ถึงความคิดของศิษย์ เพื่อให้ความเข้าใจให้ถูกจึงเรียกศิษย์ทั้งสองไปหา 
บอกว่า ...อาจารย์ยังมีตำราอีกตำราหนึ่งเหนือกว่าที่เจ้าทั้งสองเรียนรู้ไปจะให้แก่เจ้าทั้งสอง ...
แต่ต้องมีพิธีการเป็นเคล็ดก่อนสอน ให้เจ้าทั้งสองเอาหม้อใหม่ๆ ใส่น้ำผึ้งมาให้เราพรุ่งนี้ ให้น้ำผึ้ง
เสมอฝาครอบพอดีอย่าให้พร่องได้ ใครพร่องไม่ได้เรียนตำรานี้ ...


...ทั้งสองก็ไปเตรียมตัวหาหม้อดินใหม่ๆ จากตลาด ...นายละเอียดมีไหวพริบมาคิดดูว่า ...การสั่ง
ของอาจารย์แบบนี้อาจมีนัย ว่าอย่าให้พร่อง ก็ถ้าเราเอาน้ำผึ้งใส่หม้อดินกำลังแห้ง หม้อดินก็จะดูด
น้ำพร่องได้ เราก็จะไม่ได้วิชาที่อาจารย์จะให้ ควรเอาหม้อดินไปแช่น้ำให้อิ่มตัวเสียก่อนแล้วจึงใส่
น้ำผึ้ง แล้วหม้อดินก็จะไม่ดูดน้ำ ...


...พอรุ่งขึ้นคนทั้งสองก็นำของที่อาจารย์สั่งไปให้อาจารย์ เมื่อท่านอาจารย์เปิดฝาหม้อดินดู ...
ก็เรียกนายหยาบมาดูว่า ...ของเจ้าพร่องตั้งเยอะ และของนายละเอียดไม่พร่อง ทำอย่างไร ...
นายหยาบบอกว่า ...พอหาหม้อดินได้แล้วก็เอาน้ำผึ้งใส่ส่วนนายละเอียดก็เล่าถึงความคิดของ
ตนดังที่กล่าวมาแล้ว อาจารย์จึงชี้ให้นายหยาบฟังว่า ... อาจารย์ไม่มีเคล็ดลับให้นายละเอียด
ดอก แต่ความซึ้งหรือไม่ซึ้งนั้นมันอยู่ที่ความละเอียดรอบคอบเฉพาะตัว  ขอได้อย่าเข้าใจผิด
ที่อาจารย์เรียกมาคราวนี้ไม่มีอะไร วิชาที่สอนก็สอนให้เสมอกันทุกคน แต่การทำได้ดีกว่านั้น
มันอยู่ที่บุคคลจะต้องใช้ความรอบคอบ ทุกแง่ทุกมุมมาพิจารณา ก็จะเป็นผลดีได้ ...นายหยาบ
เริ่มรู้สึกตัวทันที ...


...นี่แหละครับอ่านแล้วลองนึกดู ถึงเรื่องเคล็ดลับด้วยว่ามีหรือเปล่า การกระทำบางคนทำเก่ง
กว่าผมที่เขียนตำราก็มีมาก  เพราะความรอบคอบต่อหลัก  การเรียนรู้ในเหตุของธรรมชาติ ...
กว้างขวางเหล่านี้  นักพยากรณ์ต้องเรียนรู้เพื่อประกอบการพิจารณา บางรายดูดวงชาตา ...
ว่าเขาจะได้เลื่อนชั้นเงินเดือนจากชั้นโทเป็นชั้นเอก  แต่ถูกขัดคอทันทีว่า ...ผมจะได้เลื่อน
อย่างไร  ชั้นวิ่งผมอีกตั้ง ๕ ชั้นถึงเต็มอัตรา  อย่างนี้ท่านเห็นไหม  เกิดห้าแต้มออกมา ...
แบบเป็นไปไม่ได้ทันที  ฉะนั้นการละเอียดรอบรู้ในวิธีทางธรรมชาติตามหลักของระเบียบ ...
วินัย  การศาล  การแต่งตั้ง  จิปาถะ นักพยากรณ์ที่เก่งจะต้องเรียนรู้ ไม่ใช่ว่าตำราว่าอย่างนี้
จะเถรตรงออกไปก็ใช่ที่ ก็เมื่อสมัยนี้เขาไม่มีการให้ตำแหน่งพระยากันแล้ว เถรตรงว่าจะได้
เป็นพระยา  ผลก็ถูกเขาหัวเราะเยาะเท่านั้นเอง หรือไปทางสิงคโปร์ มาเลเซีย เห็นเจ้าชาตา
เข้าท่า ว่าจะได้เป็นถึงพระยา เราบอกเขาไปมันก็ไม่เข้า ถ้าจะปรับคำพูดว่า ...จะเป็นผู้จัดการ
ใหญ่  หรือนายห้างนายหอก็พอมีทางไป  อย่างเมืองไทยสมัยนี้ทายพระยาก็ไม่ได้  ต้องอ่าน
เป็นข้าราชการขั้นพิเศษไป  ที่เขียนนี้ท่านได้อะไรบ้าง  อาจมีอคติบางประการไม่เสียหลาย
ที่จะฟังเล่นเพลินแล้วมาหนักสมองกันต่อไป ...





...สวัสดี [ แทนท่าน อ.จำรัส ศิริ ] ครับ ...





... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...








วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ผลแห่งกรรมดีและผลแห่งกรรมชั่ว


...ในบทความนี้จะขอแยะแยก การกระทำ ฝ่ายบุญ และ ฝ่ายบาป ออกมาเป็นผลกรรมทั้ง

 ... ๒ ฝ่ายได้ดังต่อไปนี้...




 ผลแห่งกรรมดี


...จะทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง อุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง อภิมหามงคล มีความสุขกายสบายใจต่างๆ

....แล้วแต่ผลของกรรมดีที่ได้กระทำกันมา...


๑.ทำไมถึงได้เป็นใหญ่เป็นโต ...

...เพราะว่าในชาติก่อนเคยทำบุญบริจาคทานสร้างพระพุทธรูป

๒.ทำไมถึงได้มีพาหนะไว้ใช้สอย ...

...เพราะว่าในชาติก่อนเคยทำบุญสร้างสะพาน - ซ่อมแซมสะพาน

๓.ทำไมถึงสวมใส่แพรพรรณอันงดงาม ...

...เมื่อชาติก่อนเคยถวายไตรจีวรให้พระภิกษุสงฆ์ ...

๔.ทำไมถึงมีเสื้อผ้าและอาหารอุดมสมบูรณ์ ...

...เพราะเมื่อชาติก่อนเคยทำบุญให้ข้าวให้น้ำคนจน ...

๕.ทำไมถึงมีบ้านเรือนใหญ่โต ...

...ในชาติก่อนเคยทำบุญถวายข้าวสารให้กับวัด ...

๖.ทำไมจึงมีบุญวาสนาสักการะอุดมสมบูรณ์ ...

...เพราะว่าชาติก่อนเคยทำบุญสร้างวัด และที่พักร้อน ...

๗.ทำไมถึงได้ฉลาดปราดเปรื่อง ...

...เพราะในชาติก่อนเคยทำบุญและหมั่นสวดมนต์ภาวนา

๘.ทำไมถึงมีรูปงาม ...

...เพราะว่าชาติก่อนเคยทำบุญถวายดอกไม้สดให้กับพระสงฆ์ ...

๙.ทำไมคู่รักจึงหวานชื่น ...

...เพราะว่าชาติก่อนทำบุญถวายผ้าคู่หรือของที่เป็นคู่ๆ ที่เป็นของมงคลสำหรับบูชาพระ

๑๐.ทำไมถึงมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้า ...

...เพราะชาติก่อนทำบุญไม่ดูแคลนคนไร้ญาติ คอยดูแลช่วยเหลืออยู่เสมอ ...

๑๑.ทำไมจึงมีลูกหลานมากมายใกล้ชิด ...

...เพราะว่าชาติก่อนทำบุญช่วยชีวิตปล่อยนกกา และลูกสัตว์ที่จะถูกฆ่า ...

๑๒.ทำไมอายุยืนนักหนา ...

...เพราะชาติก่อนเคยทำบุญช่วยซื้อชีวิตสัตว์ เอาไปปล่อย ...

๑๓.ทำไมถึงมีตาสว่างสดใส ...

...เพราะว่าชาติก่อนจุดโคมไฟถวายน้ำมันให้กับวัดวา อาราม ...

๑๔.ทำไมสุขภาพถึงดีไร้โรคภัย ...

...เมื่อชาติก่อนทำบุญบริจาคยาให้คนไข้ ...

๑๕.ทำไมถึงได้เมียดีลูกสะใภ้ดี ...

เพราะชาติก่อนเคยร่วมอนุโมทนาบุญและร่วมทำบุญทั่วๆไป ...

๑๖.ทำไมถึงลูกหลานและญาติ อยู่ร่วมกันดี ได้รับอภิมหามงคลนานัปการ ...

...เพราะว่าชาติก่อนเคยทำบุญถวายธรรมทาน สร้างพระไตรปิฎก หอไตร ถวาย ...

๑๗.ทำไมถึงได้เป็นราชา ธนคหบดี มีลูกหลานดี ญาติดีอยู่ร่วมกัน บุคคลใกล้ชิดที่ดี ประสพพบเจอ

แต่สิ่งที่เป็นอภิมหามงคลนานัปการ ...

...เพราะว่าชาติก่อนเคยทำบุญและช่วยเหลือกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระศาสนา ...

๑๘.ทำไมถึงได้เป็นมหาอุปราชที่อยู่ดีมีสุขลูกหลานดี ญาติพี่น้องดีๆอยู่ใกล้ชิด ...

...เพราะชาติก่อนเคยทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ...

๑๙.ทำไมถึงได้เป็นอภิมหาคหบดี ผู้มีลูกหลาน ญาติพี่น้องดีอยู่ร่วม และเจอแต่สิ่งที่เป็นอภิมหามงคล

นานัปการ ...

...เพราะว่าในชาติก่อนเคยทำบุญกับพระอรหันต์และ ให้การสนับสนุนจนบรรลุธรรม ...





                                                     ผลแห่งกรรมชั่ว


...จะทำให้ยากไร้ ในทรัพย์สินเงินทองไม่มีความเจริญรุ่งเรืองใดๆ มีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากเข็ญ 

...ตามแต่ผลกรรมชั่วที่ได้กระทำกันมา...

๑.ทำไมจึงหูหนวกและเป็นใบ้ ...

...เพราะว่าชาติก่อนด่าพ่อด่าแม่ ...

๒.ทำไมจึงหลังโก่งค่อมคด ...

...เพราะชาติก่อนเยาะเย้ยถากถางนักพรต คนไหว้พระ ...

๓.ทำไมจึงเกิดเป็นวัวเป็นควาย ...

...เมื่อชาติก่อนเป็นหนี้ใครไม่จ่ายคืนให้เขา ...

๔.ทำไมหญิงจึงขาดสามีและเป็นหม้า่ย ส่วนชายไร้คู่ ...

...เมื่อชาติก่อนเป็นหญิงทำร้ายเหยียดหยามสามี, ถ้าเป็นชายก็เป็นชู้กับเมียชาวบ้าน ...

๕.ทำไมถึงตกต่ำเป็นบ่าวไพร่ ...

...เมื่อชาติก่อนเนรคุณไม่ช่วยเหลือผู้มีพระคุณ ...

๖.ทำไมจึงยากจนไร้ญาติขาดมิตร ...

...เมื่อชาติก่อนเป็นคนใจร้ายไม่ลดละต่อผู้ใด ...

๗.ทำไมเลี้ยงลูกไม่โตซ้ำยังขี้โรค ...

...เมื่อชาติก่อนตั้งจิตพยาบาทใครเขาไว้ ...

๘.ทำไมจึงปากแหว่งจมูกโหว่ ...

...เมื่อชาติก่อนชอบยุแหย่ให้เขาแตกแยกกัน ...

๙.ทำไมจึงมืององ่อยเปลี้ย ...

...เมื่อชาติก่อนตีพ่อตีแม่  ทำทารุณท่าน ...

๑๐.ทำไมในชาตินี้จึงขาลีบงอ คดโก่งพิการ ...

...เพราะเมื่อชาติก่อนทำลายสะพาน และทางสัญจรทั่วไป ...

๑๑.ทำไมมีโรคมากมายลำบากกาย ...

...เพราะชาติก่อนมักมีความยินดีกับความวอดวายของคนอื่นๆ ...

๑๒.ทำไมจึงเกิดเป็นหมูเป็นหมา ...

...เมื่อชาติก่อนชอบหลอกลวงผู้คน ให้หลงผิดต่างๆ ...

๑๓.ทำไมจึงโดนจองจำ ...

...ในชาติก่อนเคยเห็นคนตกอยู่ในอันตรายแต่ไม่ช่วยเหลือใดๆ ...

๑๔.ทำไมชาิตินี้จึงน่าสงสารและอดข้าวตาย ...

...เพราะชาติก่อนเยาะเย้ยและด่าขอทาน ...

๑๕.ทำไมรูปชั่ว ตัวต่ำเตี้ย ...

...เมื่อชาติก่อนชอบดูถูกคนรับใช้ ...

๑๖.ทำไมอาเจียรเป็นโลหิต ...

..เมื่อชาติก่อนชอบใส่ไฟยุแหย่ผู้คน ...

๑๗.ทำไมจึงหูหนวกไม่ได้ยิน ...

...เพราะว่าชาติก่อนปิดใจไม่เชื่อในพระธรรมคำสั่งสอน ...

๑๘.ทำไมจึงเป็นโรคเรื้อนแผลเน่าเรื้อรัง ...

...เพราะเมื่อชาติก่อนชอบทารุณสัตว์ ...

๑๙.ทำไมจึงมีกลิ่นตัวแรงน่ารังเกียจ ...

...เพราะชาติก่อนชอบอิจฉาริษยาคนอื่นๆ ...

๒๐.ทำไมต้องชดใช้กรรมโดยการผูกคอตาย ...

...เพราะชาติก่อนทำให้ผู้อื่นเสียหาย อับอาย สิ้นหวัง ...

๒๑.ทำไมจึงต้องอ้างว้่างเป็นพ่อ - แม่หม้าย ...

...เมื่อชาติก่อนไม่รักลูก ไม่รักผัว - และเมีย ...

๒๒.ทำไมต้องเจ็บปวดเพราะไฟไหม้และฟ้าผ่า ...

..เพราะว่าเมื่อชาติก่อนใส่ไคล้คนบวชเรียน ...

๒๓.ทำไมต้องถูกสัตว์รุมทำร้าย ...

...เพราะชาติก่อนก่อภัยสร้างศัตรู ...

๒๔.ทำไมต้องตายเพราะยาพิษ ...

...ชาติก่อนชอบสร้่างข่าวลือทำร้ายใครต่อใคร ...

๒๕.ทำไมนัยน์ตาบอดมืดมน ...

...เมื่อชาติก่อนชอบดูแต่สิ่งลามกไม่ประกอบกุศล ...



                               ...ภาพล่างนี้เป็นตัวเลือกสุดท้ายกันนะครับ...





...โบราณว่าไว้ว่า " สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ "

   คิดดี พูดดี ทำดี        ...ไปอยู่สวรรค์

 คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว     ...ไปอยู่นรก

...เมื่อคนเราใกล้จะหมดลมก็จะเป็นดั่งภาพนี่ละครับ...

...อยู่ที่เราจะเลือกไปกับใคร? ด้านซ้าย หรือด้านขวา กันละครับ...


...สวัสดีครับ...แล้วพบกันใหม่...
















วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปาฏิหาริย์สมเด็จพระญาณสังวร





                                                               สมเด็จพระญาณสังวรฯ

...เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ...อยู่มาวันหนึ่งผมได้เข้าไปคุยกับคุณพ่อที่ห้องสมุดของท่าน เราก็ได้สนทนากัน
ไปในหลายเรื่องด้วยกัน พอมาถึงประเด็นเกี่ยวกับพระศาสนา ผมได้ถามคุณพ่อว่า " ในปัจจุบันนี้คุณพ่อ
เห็นว่าพระสงฆ์องค์ใดที่จะเป็นเนื้อนาบุญให้ผู้คนได้กราบไหว้สักการะกันได้บ้างละครับ " 
...คุณพ่อตอบว่า " ที่พ่อเห็นก็น่าจะเป็นสมเด็จพระญาณสังวรฯ องค์นี้แหละ ทีเป็นช้างเผือกในกรุง 
ต่อไปคงไม่แคล้วจะได้เป็นพระสังฆราชอย่างแน่นอน..." 

...ผมก็เลยจดจำชื่อสมเด็จพระญาณสังวรจนขึ้นใจเลยทีเดียว และต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๑ เมื่อสมเด็จพระ
อริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช [ วาสน์ วาสโน ] ได้สิ้นพระชนม์ลง ทำให้ตำแหน่งพระสังฆราชได้ว่างลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนา
พระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในราชทินนามเดิมคือ...

...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก...

...ย้อนไปในปี พ.ศ.๒๕๓๕ ...ในปีนั้นผมเดินทางขึ้นไปนมัสการ ล.ป.บุดดา ถาวโร และ ล.พ.เกษม เขมโก
ทั้ง ๒ องค์ นี้เป็นประจำ...มีอยู่วันหนึ่งได้เดินทางมาที่วัดบวรนิเวศ...เผอิญได้พกพาวัตถุมงคลของ...
 ล.ป.บุดดาและ ล.พ.เกษม ไปด้วยทั้ง ๒ องค์ เดินไปที่โบสถ์ตรงหน้าต่างมองเห็นสมเด็จพระญาณสังวร
กำลังทำพิธีอยู่ในโบสถ์กำลังจะเสร็จสิ้นพิธีอยู่พอดี ตอนนั้นตั้งจิตปัจจุบันทันด่วนขึ้นมาว่า อยากให้...
สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร เดินมารดน้ำมนต์ให้ที่ถุงใส่วัตถุมงคลของทั้ง ๒ องค์ ที่หน้าต่างโบสถ์ที่ผมยืนอยู่กับเพื่อนๆอีก ๔ คน ซึ่งตอนนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะตอนที่ตั้งจิตอธิษฐาน
อยู่นั้น สมเด็จพระญาณสังวร ท่านทำพิธีเสร็จจะเดินออกไปทางประตูอยู่แล้ว...ทันใดนั้นเหมือนฟ้าประทาน พออธิษฐานเสร็จสิ้น สมเด็จท่านเดินไปถึงประตูทางออกแล้ว แต่กลับหยุดเดินต่อ แต่กลับหัน
หลังกลับและเดินมาที่หน้าต่างที่ผมยืนถือถุงวัตถุมงคลทั้ง ๒ องค์อยู่ พอท่านมาถึงที่หน้าต่าง จ้องมองหน้าผมเล็กน้อยแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบไม้มงคลและจุ่มน้ำมนต์ที่ทำพิธี ซัดโปรยมาที่ถุงวัตถุมงคลของผมอย่างเต็มที่...ตอนนั้นผมรู้สึกปลาบปลื้มและตื้นตันใจเป็นที่สุดเหลือกำลัง...ได้สติอีกทีท่านก็เดินคล้อยหลังออกประตูทางออกและลับตาผมไปในที่สุด...คำเดียวที่ผมคิดออกในขณะนั้นก็คือ...

...เจโตปริยญาณ...

...และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ ช่วงที่สมเด็จพระญาณสังวรทรงประชวรอยู่ มีผู้ใหญ่ที่ผมนับถือท่านได้
พาผมและภรรยาไปเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราชได้ตามใจที่ประสงค์จะไปเยี่ยมเยียนท่านอยู้แล้ว จึงนับว่าเป็นโอกาสที่สุดแสนวิเศษเหลือคำพรรณาใดๆ ...จึงมีภาพด้านล่างให้ทุกคนได้ชมกันนะครับ...







วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประสบการณ์จากพระกริ่งเขมร





...ผมต้องขอเกริ่นเรื่องราวที่มาที่ไปให้ทราบกันก่อนนะครับ...กล่าวคือ ผมเกิดอยู่ในครอบครัวที่
เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นนายตำรวจ คุณพ่อผมท่านมีพระเครื่อง พระบูชาต่างๆอยู่มากโขอยู่...
ผมเคยถามท่านว่า "พ่อทำไมมีพระเยอะจังเลยครับ " ... 

แกก็ตอบมาว่า " พ่อไม่ได้ไปวิ่งเต้นหามาหรอก แต่เมื่อตอนพ่อเป็นนายร้อยอยู่ บางที่ไปจับคนร้าย
ที่โรงงานยาฝิ่น บางคนก็รับปากว่าจะไม่ทำร้ายคนอื่นอีก แถมถอดพระออกจากคอให้มาทั้งพวง...
เป็นรางวัลให้พ่ออีก ไอ้ครั้นพ่อไม่รับเอาไว้ ก็ดูกระไรอยู่ [ที่จริงพ่อผมท่านก็ชอบสะสมพระอยู่แล้ว]
จะเป็นการเสียน้ำใจกันเปล่าๆ  ลำพังพระที่ได้ตกทอดมาจากปู่แก ก็เยอะอยู่แล้ว แล้วบางทีก็ยังมีคน
เอามาให้อยู่เรื่อยๆ นับวันๆ ก็เลยเยอะอย่างที่แกเห็นนะแหละ "

...นี่เป็นคำบอกเล่าจากปากของพ่อผม...คราวนี้เรามาเข้าเรื่องกันก่อนว่า โดยเริ่มแรกเดิมที่นั้น...
พระกริ่งเขมรองค์นี้ อยู่กับพี่ชายผมเลี่ยมทองเรียบร้อยแล้ว แต่ต่อมาพี่ชายผมเขาหน้ามืดไม่มีเงิน
ไปเที่ยวแต่ไม่กล้าเอาพระไปจำนำ ก็เลยแกะทองที่หุ้มพระอยู่เอาทองไปขายซะ ก็เลยไม่ได้ใส่
พระกริ่งองค์นี้อีก มีอยู่วันหนึ่งผมไปเที่ยวที่บ้านพี่ชาย ก็เลยหยิบพระที่อยู่ในพานมาส่องดูเล่นก็ไป
เห็นพระกริ่งเขมรองค์นี้เข้า เห็นว่าผิดแปลกแตกต่างจากพระกริ่งเขมรองค์อื่นๆที่เคยเห็นมาว่า
 ธรรมดาพระกริ่งเขมรทั่วไป ที่ใต้ฐานจะมีโอม คือเลข ๑ อยู่เป็นปกติทั่วไป แต่องค์นี้ใต้ฐานมี
 โอม นูนขึ้นมาจากใต้ฐาน ผมจึงแปลกใจมาก และนึกอยากได้มาครอบครองในทันที...

...ผมจึงพูดกับพี่ชายว่า " พี่อู๊ด เธออยากได้เหรียญรัชกาลที่ ๑ ไหม ? "
พี่อู๊ดตอบว่า " อยากได้ซิ เธอมีเหรอ " 
ผมตอบว่า " มีซิ แต่ต้องแลกกับพระกริ่งเขมรองค์นี้นะ ชั้นชอบ โอเคไหม ? "
พี่อู๊ดว่า " ได้ๆ แลกกันเลย " 

...เพียงเท่านั้นก็เรียบร้อย ผมรีบนำพระไปเลี่ยมด้วยความรวดเร็ว [ กลัวพี่อู๊ดเปลี่ยนใจ ] หลังจากนั้นก็
ใส่มาเรื่อย มีอยู่วันหนึ่งเดินอยู่ที่บ้านชั้น ๒ พลาดไปเหยียบเศษแก้วเข้าเต็มที่ ปวดสุดๆ รีบชักเท้าขึ้น
มาดู คิดว่าเลือดสาดแน่ๆ แต่ผิดคาด!มองไปก็ไม่เห็นมีเลือด พอดึงเศษแก้วออกมาก็ยังคงไม่มีเลือด
ออกอีกเช่นเดิม มีแต่รู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ... เหลือเชื่อนะครับ ... แต่เป็นเรื่องจริงนะ ...

...ต่อมาผมไปนั่งรอลูกชาย ๒ คน ทำงานอยู่ที่ลานเบียร์ เวิลเทรด ๔ แยกราชประสงค์ ผมก็นั่งจิบ
เบียร์ไปเพลินๆ มองไปทางลานเบียร์ แต่หารู้ไม่ว่าด้านหลังของผมมีลำโพงไฟฟ้าอยู่บนโครงเหล็ก 
ขณะนั้นขาเหล็กที่รับน้ำหนักลำโพง ทานไม่อยู่ได้ทรุดล้มลงมาทางผมที่นั่งอยู่...
ในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆเข้ามาที่หลังต้นคอผม แต่เหมือนมีอะไรมาลองรับน้ำหนักไว้ 
และตัวผมก็เอียงตัวไปทางซ้ายเหมือนหลบแต่ก็โดนเข้าที่ศรีษะจนได้ รู้สึกมึนแปล๊บๆ หันไปดู
เห็นลำโพงนอนกลิ้งอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว...

...เพื่อนผมเป็นเจ้าของลานเบียร์เข้ามาดู ถามว่า " เป็นยังไงบ้าง " ผมตอบว่า " มึนหัวนิดๆ "เพื่อนผม
ว่า" แขวนพระดีนี่หว่า " ว่าแล้วก็ควักเงินส่งให้ ๑๐๐๐ บาทพร้อมกับพูดว่า " ไปให้หมอตรวจดีกว่านะ " 
ตกลงผมก็ไม่ได้ไปตรวจหมอหรอก กลับถึงบ้านยังกินอาหารได้ตามปกติ ไม่อาเจียร ไม่มึนหัว...
ก็น่าจะโอเค...แล้วก็จริง เหตุการณ์ผ่านไปได้  ๒ - ๓ วันผมก็ยังปกติสุขดี...เจ๋งจริงๆครับ...

...ปิดท้ายอีกซักเรื่องนะครับ...วันหนึ่งแฟนผมเขาให้ช่วยจับแมวเพราะจะฉีดยาให้มัน ผมก็ช่วยจับแมว
ให้ ธรรมดาเวลาเขาฉีดยาแมวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่วันนั้นมีคือ...แทงเข็มฉีดยาเข้าไปที่แมวหลายครั้ง
ก็ไม่เข้า ตกลงแทงไปหลายที่ แฟนผมรู้สึกฉงนใจแต่เหมือนคิดได้พูดมาว่า " พ่ออนูญาติให้แทงเข็ม
เข้าด้วย " ผมก็กล่าวออกมาว่า " เอา...อนุญาติให้แทงเข้า " ไม่ขาดคำ คราวนี้แทงมิดด้ามเข็มในทันที่
แฟนผมก็เลยพูดว่า " ทีหลังไม่ให้พ่อจับแมวอีกแล้ว เดี๋ยวเข็มฉีดยาแทงไม่เข้าอีก "








...สรุปเรื่องราวหรือที่เขาเรียกกันว่า...ประสบการณ์ ...กับพระเขมรองค์นี้มีมากมายหลายเรื่อง บางเรื่อง
ก็มีหวาดเสียว น่ากลัวกว่านี้ เล่าวันนี้ไม่จบ เพราะเรื่องแต่ละเรื่องค่อนข้างจะยาวอยู่สักหน่อยไว้โอกาส
หน้าผมค่อยมาเล่าให้ฟังใหม่ วันนี้ สวัสดีก่อน ... ครับ ...



วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รถไฟทะลุมิติแห่งกาลเวลาหายเข้าไปในอุโมงค์ ๔๒ ปี


รถไฟทะลุมิติหายเข้าไปในอุโมงค์อย่างลึกลับถึง ๔๒ ปี ...


จู่ๆโผล่ออกมาทุกคนอายุเท่าเดิม ...


... เรื่องประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลพากันปิดปากเงียบ ที่ขบวนรถด่วน
ขบวนหนึ่งพร้อมกับผู้โดยสารหายลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ขณะเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งเมื่อปี
พ.ศ.๒๔๙๒ แล้วจู่ๆโผล่ออกมาอีกในสภาพเดิมทุกอย่าง เมื่อต้นปีนี้คือ พ.ศ.๒๕๓๕ ...

...ที่ประหลาดยิ่งขึ้น ผู้โดยสารจำนวน ๑๒๐ คน และพนักงานประจำรถ ๓ คน มีอายุเท่ากับวันที่หายเข้า
ไปในอุโมงค์ไม่มีใครแก่อายุมากขึ้นสักวันเดียว รูปร่างเหมือนเดิมทุกอย่าง และพวกเขายังเชื่อว่า ...
 ทุกวันนี้ยังเป็น พ.ศ. ๒๔๙๒ อยู่ ...

...รัฐบาลอิตาลีเก็บเรื่องนี้เงียบที่จะพูดถึงขบวนรถด่วนหมายเลข เอฟ ๖๒๖ และยังไม่ยอมพูดถึงว่า ...
เอาขบวนรถนั้นไปไว้ที่ไหนด้วย  ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังคอยจับตาผู้โดยสารทุกคนเว้นแต่มี ๒ คน ...
ที่เป็นชาวต่างประเทศหลบหนีการสอบสวนไป  ส่วนพนักงานประจำรถ ๓ คน รัฐบาลได้เก็บตัวไว้ใน ...
สถานที่หนึ่ง ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณชน ...












...ข่าวการหายไปของขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ หายลึกลับไป ๔๒ ปี และโผล่กลับมาอีกนั้น แม้ว่าทาง
การ พยายามปิดข่าว แต่หนังสือพิมพ์อิตาลีเกือบทุกฉบับสามารถที่จะติดตามมาเสนอได้ พยานทีได้
รับทราบเหตุการณ์ครั้งนี้เผย ตั้งแต่เริ่มต้นที่ขบวนรถด่วนนี้มีด้วยกัน ๑๓ โบกี้ หายเข้าไปในอุโมงค์...
รถไฟที่มีความยาว ๑ ใน ๔ ไมล์อย่างลึกลับไม่ยอมโผล่ออกไปอีกทางหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงปิดอุโมงค์ทำ
การค้นหา ซึ่งมีทั้งตำรวจและ นักวิทยาศาสตร์ โดยได้ค้นทุกตารางนิ้ว แต่ไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อยว่า
มันหายไปได้อย่างไร รางถึงกับรื้อออกแล้วนำมาวางใหม่ เมื่อค้นหากันไม่พบทำให้หลายคนเชื่อว่า ...
มนุษย์ต่างดาวได้ทำการโจรกรรมโขมยรถด่วนนี้ไป ตามรายงานของ นสพ.อุโมงค์ได้เปิดอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อปี ๒๔๙๓ ตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าจะมีขบวนรถไฟผ่านไปมาเป็นพันขบวนก็ไม่มีอุบัติเหตุอันแปลกประหลาด ...ลี้ลับนั้นเกิดขึ้นอีกเลย ...

...แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ก็มีคนพยายามค้นหาขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ แต่ก็พบว่า
มีแต่ความว่างเปล่า บางคนถึงกับสรุปว่า รถขบวนนี้ถูกหุ้มห่อด้วยกาลเวลาและเดินทางไปสู่อนาคตอัน
ไกลพ้น ...

เรื่องราวแบบนี้เคยเกิดขึ้นในสหรัฐ เรืออินเซอร่า ซึ่งเป็นเรือคุ้มครองเรือประจัญบานของกองทัพเรือสหรัฐ
จู่ๆก็หายอย่างลึกลับจากอู่เรือที่ฟิลาเดลเฟียในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่แล้วจู่ๆก็ไปปรากฏตัวที่
ฐานทัพเรือนอร์ฟอร์ด ซึ่งทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ ...







...เมื่อรัฐบาลปิดข่าว หนังสืออิตาลีก็พยายามที่จะขุดค้นออกมา ในที่สุดหนังสือพิมพ์โรมเดลี่ที่ขายดีมาก
สามารถไปคว้าเอาเทปมาริโอ ฟรานซินี ช่างเครื่องรถไฟขบวนนี้มาตีแผ่ได้ ซึ่งมีดังนี้ ...

"ขณะที่ขบวนรถเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์นั้น ไม่นานนักก็มีหมอกสีขาวหนาลอยฟ่อง สมองรู้สึกปั่นป่วนไป
หมด จากนั้นก็หมดสติไม่รู้สึกตัว มาได้สติอีกครั้งหนึ่งเมื่อขบวนรถได้ออกจากอุโมงค์แล้ว เราคิดว่าเวลา
คงจะห่างกันไม่ถึงนาทีดี แต่ที่ไหนได้ เมื่อขบวนรถเรากลับมาถึงสถานีโบล้อคน่าถึงได้ทราบว่า ได้ห่างกัน
ถึง ๔๒ ปี นี่คือสิ่งเดียวที่เรารู้ "

...ผู้โดยสารอื่นๆก็ให้การคล้ายคลึงกันว่า มีหมอกลงจัดเมื่อเวลาเข้าอุโมงค์แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ...
...ผู้โดยสารขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ ๒ คน ที่หลบการให้การคือ อดอล์ฟ โรเนอร์
เป็นชาวเยอรมันกับมาร์ติน บาร์ตเลตต์ ชาวแอฟริกาใต้ สำหรับโรเนอร์มีนักข่าวอิตาลีได้โทรศัพท์ไปหลอกถาม โดยอ้างว่าเป็นผู้โดยสารรถด่วนนั้นด้วยกัน ...




...โรเนอร์ได้เล่าว่า ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปมาก ตอนที่เขาหายไปพร้อมกับขบวนรถไฟนั้นเขาอายุ ๓๐ ปี
มีลูกชายอายุ ๑๐ ขวบ ... เดี๋ยวนี้ลูกชายผมอายุ ๕๒ ปีแล้ว อ้วนและเป็นโรคหัวใจ ส่วนภรรยาผมก็ย่างเข้า ๗๐ ปีแล้ว กำลังเป็นโรคเบาหวาน ส่วนผมกลับอายุเพียง ๓๐ ปี เท่านั้น เท่ากับเมื่อปี ๒๔๙๒ ...






... เรื่องราวเหล่านี้เป็นความลึกลับของโลกที่อธิบายได้ยาก ซับซ้อน น่าอัศจรรย์ใจ ต่อผู้ที่ได้รับฟังเป็นอย่างยิ่ง ...
...และเรื่องนี้นับว่าเป็นปริศนาอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ชวนติดตาม สืบเสาะ ค้นหาที่มาความเป็นมาเป็นไป ...

... สวัสดีครับ ...


... อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...



วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เนื่องในวันอาสาฬหบูชา




วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า...
"ธัมมจักกัปปวัตตสูตร"
แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม

   เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง...

พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาด
แก่นสาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆโดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่
รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปชี้แจงอธิบายให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช ๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน ๘ ...

ใ จ ค ว า ม สำ คั ญ ข อ ง ป ฐ ม เ ท ศ น า

ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ
ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ...

   ๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค

   ๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ...

     ๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
     ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
     ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
     ๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
     ๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
     ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
     ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
     ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน
     ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่ ...

   ๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด...

   ๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ ...

   ๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา ...

   ๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น...

 ผ ล จ า ก ก า ร แ ส ด ง ป ฐ ม เท ศ น า

     เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ...

ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง อ า ส า ฬ ห บู ช า

     “อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือ อาสาฬห (เดือน ๘ ทางจันทรคติ) กับบูชา (การบูชา) เมื่อรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน ๘ หรือเรียกให้เต็มว่า อาสาฬหบูรณมีบูชา ...

     โดยสรุป วันอาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญ เดือน ๘ หรือ การบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันเพ็ญ เดือน ๘ คือ ...

๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา
๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศพระศาสนา
๓. เป็นวันที่เกิดอริยสงฆ์ครั้งแรกคือการที่ท่านโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน จัดเป็นอริยบุคคลท่านแรกในอริยสงฆ์
๔. เป็นวันที่เกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือ การที่ท่านโกณฑัญญะขอบรรพชาและ ได้บวชเป็นพระภิกษุ หลังจากฟังปฐมเทศนาและบรรลุธรรมแล้ว
๕. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงได้ปฐมสาวกคือ การที่ท่านโกณฑัญญะนั้น ได้บรรลุธรรม และบวชเป็นพระภิกษุ จึงเป็นสาวกรูปแรกของพระพุทธเจ้า...

     เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนา บางทีเรียกวันอาสาฬหบูชา นี้ว่า วันพระสงฆ์ ...
(คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์) ...

    พิธีกรรมที่กระทำในวันนี้ โดยทั่วไป คือ ทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา...
(ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) และสวดมนต์ ดังนั้นในวันนี้จึงถือว่า พุทธศาสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสาระสำคัญจากอาสาฬหบูชา กล่าวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่า ชีวิตเราได้เจริญงอกงามขึ้นด้วยความเป็นอยู่อย่างผู้รู้เท่าทันโลกและชีวิตนี้บ้างแล้วเพียงใด เรายังดำเนินชีวิตอยู่อย่างลุ่มหลงมัวเมา หรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้างแล้วเพียงใด...

...วันอาสาฬหบูชา ถือเป็นวันสำคัญที่กำหนดให้กับวันหยุดของรัฐเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น...
ส่วนในต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่นๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชา...
เทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา ...

...ที่มาจาก...

 ความรู้เกี่ยวกับวันสำคัญไทย (เสฐียรโกเศศ และ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ,๒๕๔๑ : ๓๙ - ๕๙)