วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิญญานมีอยู่จริงหรือไม่?








... ในวัยเด็กของผมได้รับการปลูกฝังความเชื่อในเรื่องของศาสนา มีศรัทธาอย่างแรงกล้า

ในเรื่องของ ชาติ  ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ... เริ่มการสวดมนต์ตั้งแต่วัย ๗ ขวบ ...

โดยเข้าไปสวดพร้อมกันกับพวกพี่ๆทั้งหมด โดยมีคุณพ่อเป็นหัวหน้าทีมนำเข้าห้องพระ ...

ตอนวัย ๗ - ๑๕ ขวบนั้น ไปไหนกับคุณพ่อทั่วแผ่นดินไทย เรื่อง " กลัว " ตอบว่าตัดไปได้เลย

เรื่องราวที่เกื่ยวข้องกับวิญญานก็มาปรากฏกับผมครั้งแรกเมื่อตอนอายุได้ ๑๔ ปี่ ...





... ตอนนั้นปิดเทอมใหญ่ ผมก็ไปอยู่กับคุณพ่อ + คุณแม่ ที่ขอนแก่น [ คุณพ่อเป็นผู้การเขตุอยู่ ]

วันนั้นเป็นวันอะไร ... ผมเริ่มลืมเลือนแล้ว ... ในตอนดึกสงัดและเงียบสงบ ผมนอนอยู่ข้างๆ เตียง

คุณพ่อ + คุณแม่ ...ในภวังค์จิตได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมดังก้องในหูว่า " เอ็กพี่มาหา " ซ้ำๆ กัน

หลายๆครั้ง และรู้สึกว่าตัวโดนเขย่าติดๆกันอยู่หลายหน ... ในอาการเคลิ้มรู้สึกได้ว่าเป็นเด็ก

ผู้ชาย แต่ยังไม่รู้ขัดว่าเป็นใคร  จนซักพักจึงตระหนักได้ว่าน่าจะเป็นคุณยศ พี่ชายลูกของอาทุม

น้องคุณพ่อ จึงตกใจลืมตาผลุดลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่เห็นใคร... มีแต่ความว่างเปล่า ...





... ในตอนนั้นรู้สึกงงๆ และตกใจในเหตุการณ์นั้น ... ทันใดก็ได้ยินเสียงคุณพ่อถามมาว่า ...

" ละเมอ หรือ ฝันร้ายละลูก " 

ผมตอบไปว่า " ไม่รู้ครับ  เหมือนมีคนมาปลุกเอ็กให้ตื่น "

คุณพ่อถามมาอีกว่า " แล้วคิดว่าเป็นใครกันละ " 

ผมตอบไปว่า " เหมือนจะเป็นคุณยศนะ ครับ "

คุณพ่อพูดสรุปมาว่า " เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน นอนต่อกันดีกว่า " 

ผมรับคำล้มตัวลงนอน แต่ก็ยังติดใจสงสัยอยู่ ... มองนาฬิกาเป็นเวลา 5.35 น.












ตอนเช้่าของวันรุ่งขึ้น มีโทรศัพท์ทางไกลมาจากกรุงเทพ ส่งข่าวมาว่า คุณยศเดินทางไปหัวหิน

รถยนต์ประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตเมื่อคืน ตอนเวลา ตี 5.30 น. [ ตรงกับเวลาที่ผมถูกปลุกตื่น ] ...

คุณพ่อพูดกับคุณแม่ว่า " สงสัยตายศ มาบอกลาน้องแน่ๆ " คุณแม่พยักหน้ารับคำ ... ส่วนผม

นั้นน้ำตาซึมออกมา รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก เพราะคิดถึงอดีตว่า เมื่อยามพี่ยศยังมีชีวิตอยู่ก็จะมา

หาสู่ผมอยู่ ประจำไม่ผมไปหา แกก็จะมาหาเองอยู่สม่ำเสมอ ... แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต

ก็ยังมาบอกลาน้องด้วยตัวเองถึงที่ ... นับว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องอย่างจริงใจที่สุด ...




... ขอโทษ ! ผมลืมบอกไปว่า คนอย่างผมจะพบปะวิญญาณ สัมภเวสี โอปปาติกะ ฯลฯ ได้นั้น

ค่อนข้างยาก เพราะก่อนนอนนั้นผมสวดมนต์เพียบ ... [ สวมพระตลอดไม่เคยถอด ]

 สารพัดคาถา ฯ ถ้าไม่ชิดเชื้อหรือมีสาระสำคัญที่จะมาหา เข้ามาหาผมไม่ได้แน่นอน ...แต่อย่าง

ว่าแหละครับ ...

... ๑๐  นิ้วยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ... พอตอนโตๆขึ้นมา วันไหนเมาหนักก็มีสิทธิ์ได้เจอ

วิญญานได้ อาจจะลืมสวดมนต์หรือว่าถอดพระเครื่องออก ...

...และแล้ววันนั้นก็มาถึงคือ ...











... เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๕ ผมไปเล่นดนตรีอยู่ที่ โรงแรมหาดใหญ่ ในคืนนั้นครบสูตรก็คือ


เมาเหล้า  ไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน  ถอดพระเครื่องออก ... ในขณะที่ผมกำลังหลับอย่างแสนสุข

ด้วยฤทธิ์สุรามาเป็นระยะ ... พลันเหมือนมีคนมาเรียก สะดุ้งตื่นขึ้นมา ในวินาทีนั้นปรากฎเหมือน

ควันลอยมาเป็นหน้าคนที่ใหญ่มาก แล้วหน้านีั้นก็หัวร่อใส่ผม ... ในตอนนั้นผมยังดูไม่ออกว่าเป็น

หน้าใครกันแน่ แต่สัญชาตญาณทำให้ ได้ใช้เท้าทั้งสองถีบไปที่หน้าใหญ่ๆนั้นหลายครั้ง พร้อม

กับลุกไปหยิบพระเครื่องที่แขวนไว้มาสวมใส่อย่างฉับพลัน ... 

เป็นอาการที่รวดเร็วดุจจอมยุทธที่เชี่ยวชาญในการรบพุ่งอย่างไม่ผิดเพี๊ยน ...



... ได้ผลเกินคาดภาพหน้าเหมือนยักษ์นั้นก็พลันหายไป อาการมึนเมาของผมจากพิษสุราก็หาย

ตามไปด้วย มาครุ่นคิดดู ก็แน่ใจว่าหน้าใหญ่ๆที่มาหัวร่อให้เห็นนี่ต้องเป็นเพื่อนนักดนตรีคนใด

คนหนึ่งแน่ๆ คิดไปคิดมาก็ใจหายว่า " ชรอยจะเป็นวิญญานเพื่อนมาหาเราละมั๊ง "...

ว่าแล้วก็ต้องหยุดคิดไม่กล้าคิดต่อ ล้มตัวลงนอนในทันที ... 



... รุ่งเช้าวันต่อมา มีเพื่อนส่งข่าวมาว่า ตุ๊ มือBass วง Swan เก่า ถูกคนฆ่าตายที่พัทยา ผมใจหาย

วูบ ย้อนนึกถึงภาพหน้าคนเมื่อคืน ก็สรุปได้ว่าคือตุ๊ Bass จริงๆ เพราะเพื่อนคนนี้สมัยก่อนเล่น

ด้วยกัน เคยอาศัยอยู่ที่บ้านผมเป็นเวลานานพอสมควรทีเดียว... ไม่รอช้าผมลงมือสวดมนต์แผ่

เมตตา สรรพสัตว์ทั้งหลายฯ ให้เพื่อนตุ๊ อย่างไม่ต้องลังเลสงสัย ...












... เรื่องราวเกี่ยวกับการพิสูจน์ว่าวิญญานมีอยู่จริงนั้น ผมและภรรยามีประสบการณ์อยู่มากมาย

เกินกว่าที่จะมาบอกเล่าในที่นี้ได้หมดสิ้นกระบวนความ ...

ในบทความหน้าต่อๆไป จะมีเรื่องราวน่าระทึกใจ มาสู่ทุกคนให้ได้รับความฉงนใจ ประหลาดใจ

ในสิ่งต่างๆ ที่ผมจะเสนอให้ทุกคนได้รับรู้เรื่องราวนั้นๆ ...


... สวัสดีครับ ...


วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สภาวะธรรม + พระคาถา + โคลงกลอน + คำคม




... โคลงกลอนของบิดาข้าพเจ้า ...



... ความเจริญในยุคปัจจุบัน ...


... ในยุคปัจจุบันเรานี้ เทคโนโลยี่่ได้พัฒนาก้าวล้ำนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว และกว้างไกล

จนเกินที่จะไขว่คว้าไ ล่ล่า ติดตาม ไปได้ทันสมัยทันยุคจรวดนี้ได้  แต่ในเรื่องของ ...

ความเจริญในทาง  ศีล  สมาธิ ปัญญา  วิปัสสนาเหล่านี้นั้น ... มนุษย์เราไม่ได้พัฒนากัน

ขึ้นมากันเท่าไรนักจะสังเกตุได้จากข่าวในทีวี หนังสือพิมพ์ ฯ โจร ผู้ร้ายจิตใจเหี้ย ม ...

 เกรียมมากไม่ได้คำนึงถึงบาป บุญ คุณโทษ กันบ้างเลย ...


... ถ้าทุกคนปฏิบัติตนตามคำกลอนด้านบนนี้แล้วไซร้ เหตุการณ์ร้ายๆ ดังกล่าวก็คงจะไม่

อุบัติขึ้นในโลกใบนี้อย่างแน่นอน ...









... ผมมีพระคาถาเพิ่มพูนปัญญา ได้มาจาก ล.ป.เงิน วัดดอนยายหอมตอนผมยังเด็กๆอยู่ 

สวดแล้วความจำดี ไม่เป็น โรคอัลไซเมอร์ [ Alzheimer ] แน่นอน ...









... สภาวะธรรม ...







... ทางสายตรงสู่การหลุดพ้นจากวัฎฎะสงสาร ...


... วัฏฏะ แปลว่า cycle  คือ ... วงกลม, วงจร , วงล้อ ...
สงสาร แปลว่า pity คือ น่าสงสาร, น่าสังเวช, น่าสมเพช ...

รวมความว่า วงกลมที่เบื่อหน่าย คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนอย่างไม่จบสิ้นเป็นวงกลม 
หาต้นหาปลายไม่เจอ มีแต่ความลำบาก เร่าร้อน เพราะคนที่อยู่ในวัฏฏสงสารต้องแปรเปลี่ยน
ไปเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แน่นอน ...









... ทุกคนต้องทำให้ ... จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ... ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ ...

... สวัสดีครับ ...

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เซียนพระมีจริงเหรอ?












...ในชีวิตของผมเท่าที่จำความได้ เมื่อเกิดมาก็เจอแต่ พระพุทธ พระสงฆ์มาตลอด เดือนแรกที่เกิด
ออกมาดูโลกใบนี้ ตอนนั้นคุณพ่อรับราชการเป็นรองผู้การอยู่ที่อยุธยา จึงได้นิมนต์ หลวงพ่อนอ 
วัดกลางท่าเรือ มาทำขวัญให้ผมที่บ้าน ...[ เดื๋ยวมีภาพให้ชมครับ ] อายุ ๕-๖ ขวบ ก่อนเข้านอน
คุณพ่อท่านก็พาให้ลูกๆทุกคนเข้าไปสวดมนต์ ทำสมาธิ กันในห้องพระ โดยที่ลูกๆทุกคน ต้องสวด
มนต์ อย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากสวดมนต์ก็ให้นั่งสมาธิกันอีก ซึ่งในตอนนั้นผมยังเป็นเด็กเล็กมาก...
[ ไร้เดียงสา ] ในห้องพระมีหนังสือสวดมนต์ซึ่งพี่สาวคนที่ ๒ [ พี่แอ๊ด ] เป็นผู้จดบันทึกไว้ ...
ส่วนในห้องพระไม่ต้องพูดถึงพระคุณพ่อผมมีเพียบ ... สมบัติจากคุณปู่ และของท่านที่มีอยู่ ตอบว่า
แทบล้นห้องพระเลยทีเดียว ...[ คุยไปเรื่อย ] ....


...พอวัยหนุ่มขึ้นมาตอนผมไปเล่นดนตรีตาม จังหวัดต่างๆ ได้มีรายการใจอ่อนแจกพระอยู่หลายครั้ง
[ ที่จริงน่าจะเป็นบุญกุศลมากกว่า ]เช่นให้กริ่งปวเรศ พรรคพวกไปตอนที่เพื่อนจะไปเล่นดนตรีที่เมืองนอก [ ทนรบเร้าไม่ได้ต่างหาก ] เพื่อนคนนั้นมีชื่อว่า "อ๋อง" ไปเล่นดนตรีที่ประเทศเยอรมัน ปัจจุบัน
นี้สบายมากๆ เพราะได้เมียเป็นลูกเศรษฐีอันดับ ๓ ของเยอรมัน ตั้งแต่สมัยแรกที่ไปเยอรมัน อย่างนี้
เขาเรียกว่า... ได้พระพาบุญมา นำให้วาสนาสูงส่ง แท้ๆ ...ยังมีอีกองค์หนึ่งให้เขาไป เหรียญหลวงพ่อ 
กลั่น วัดพระญาติ รุ่นแรก คุณพ่อผมไปเรียนโหราศาสตร์กับ ล.พ.อั้น วัดพระญาติ ท่านให้
เหรียญล.พ.กลั่นมา ๑ เหรียญ เรียบร้อยผมแจกเขาไปซะแล้วสิ ...[ จำไม่ได้ด้วยว่าให้ใครไป ] ...



 ...หลวงพ่อ นอ วัดกลางท่าเรือ ...


...เหรียญเจ้าคุณ นรรัตน์ รุ่นจเร ชนะสร้าง ตอนนั้นท่านจเรชนะฝากคุณพ่อไปให้บูชาองค์ละแค่ ...
๑๐ บาท คุณพ่อเลยเหมาไว้ ๑๐๐ องค์ ผมแจกเรียบไม่เหลือสักองค์ให้ตัวเอง ...ยังมีเหรียญ อ.ฝั้น
รุ่นที่  49 คุณพ่อผมเป็นผู้สร้างมีอยู่ ๕๐๐ องค์ ผมเอาไปแจกเรียบอีก ...อ.ฝั้นรุ่นน้าผม นามสกุล ...
ศรีดามา สร้างอยู่ ๒ รุ่น ผมก็เอาไปแจกร่วม ๑๐๐ องค์อีก ...เหรียญ ล.ป.แหวนรุ่น " เราสู้ " มีอยู่ร่วม
๑๐๐ องค์ แจกจนหมดอีก ...ที่หนักเข้าไปอีก เหรียญเสมาหลัง ป.ร.ล.ป.เงิน วัดดอนยายหอม
คุณพ่อผมท่านจัดสร้าง...มีเหลืออยู่ ๑๕๐๐ องค์ ผมก็แจกจนเรียบอีก ต้องไปขอคืนที่ให้เพื่อนๆไป
ได้กลับมา ๒- ๓ องค์เท่านั้น ...


...แล้วก็ยังมีพระต่างๆมากมายที่แจกพรรคพวกไปอาทิเช่น ...พระชุดกิมตึ๊ง ...มอญแปลง นาคปรก  ขุนแผนบ้านกร่าง  ล.พ.นาค วัดหัวหินรุ่นแรก ฯลฯ อีกเยอะจำไม่ได้แล้วเยอะจัด ...มึนไปหมด...
แต่ทุกวันนี้ผมก็รู้สึกเฉยๆนะครับ ไม่รู้สึกเสียดายอะไรเลย ...เข้าทำนอง สมบัติผลัดกันชม ...กระมัง?
นอกจากแจกเขาไปแล้ว บางทีก็มีพรรคพวกเพื่อนของรุ่นน้องโจรกรรมไปก็มีครับ ... หรือเพื่อนกัน
แท้ๆยังจิ๊กไปก็ยังมีเลย ...ดูซิ ! พระเดชพระคุณทำเพื่อนลงนะนี่ ...


...ผมมีเพื่อนอยุ่คนหนึ่งชื่อ "เปี๊ยก"เป็นนักร้อง + นักดนตรีเคยเล่นมาด้วยกัน ชอบสะสมพระมาตั้งแต่
ยังวัยรุ่น เก็บสะสมพระเล็กพระน้อย มาจนกระทั่งเต็มอัตราศึก [ เพียบ ] พอเลิกกับเมียคนหนึ่งก็ทิ้ง
พระไว้กับเมียจนหมด แล้วมาเก็บสะสมใหม่อีก พอเลิกอีกกัน ก็ทิ้งพระไว้เช่นเคย เป็นเยี่ยงนี้อยู่เสมอ
มาจนเป็นนิจศีล [ แต่เท่าที่สืบถาม เปี๊ยกตอบว่า ส่วนมากลืมเอาพระไปต่างหาก พอกลับไปถามหาปรากฏว่าเมียขายพระเรียบ ] ...เวรกรรม ...เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้วเปี๊ยกพาเซียนพระ มาให้รู้จักคนหนึ่งชื่อว่า "ประเสริฐ" [ เดี๋ยวนี้เป็นเซียนใหญ่อยู่ที่ท่าพระจันทร์ ] มาเช็คพระที่บ้า่นผม ลักษณะหน่วยก้านของเสริฐในตอนนั้นทะมัดทะแมงดีมาก ดูพระ สัมผัสพระ [ ส่องพระ ]ได้รวดเร็ว ทันใจดีมาก ... [ น่ารัก ] ...


...ผมยังมีเพื่อนเซียนพระอีกคนชื่อว่าหน่อย [ แทน ท่าพระจันทร์ ] เป็นนักเรียน ร.ร.เซ็นต์คาเบรียล
มาด้วยกัน ตอนนี้ก็เห็นเดินอยู่กับ ต้อย เมืองนนท์ เป็นอันว่าผมก็พอมีพรรคพวกเป็นเซียนพระอยู่บ้าง
ตอนนี้ผมจะเล่านิทานเรื่องจริงเกี่ยวกับวงการพระเครื่องให้ฟังสักเรื่องเป็นอุทาหรณ์กันนะครับ ...


...เรื่องเป็นอย่างนี้กล่าวคือ มีคนๆหนึ่งมีพระสมเด็จรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย อยู่หลายองค์ ได้เพียรพยายาม
นำพระไปประกวดที่ วัดราชนัดดา อยู่หลายปี ปรากฏว่าไม่ติดอันดับใดๆ ผิดพิมพ์ ผิดสีสรร ผิดเนื้อหาฯลฯ โอ๊ย...จิปาถะที่กรรมการจะพูด เป็นอันสรุปว่ามาประกวดอยู่หลายปีดีดักไม่เคยได้สักครั้ง ...อยู่มาปีหนึ่ง คนเดิมนี่แหละนำพระเข้ามาประกวดอีกเช่นเคย เที่ยวนี้ปรากฏว่าเฮงครับ ...ได้ที่ ๑ ...พอชนะเรียบร้อยรับพระกลับคืนมาจากกรรมการ พี่แกก็ทำในสิ่งที่คนไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้มาก่อน ...
คือแกจับพระที่ประกวดได้ที่ ๑ หักออกเป็น ๒ ท่อน แล้วชูพระที่หักในมือทั้ง ๒ ท่อนแล้วกล่าวว่า ...

" ผมเอาพระสมเด็จจากมรดกตกทอดมาประกวดอยู่หลายปีไม่เคยติดอันดับ แต่ปีนี้ผมนำเอาพระที่ผมทำมากับมือ...คือการขุูดเอาเนื้อผงของสมเด็จต่างๆมาเคลือบใส่ในพระเก๊ที่ซื้อมา ...แต่กลับได้
ที่ ๑ ...แบบนี้จะให้อธิบายว่าอย่างไรดี ...แสดงว่ากรรมการทั้งหลายแหล่ ล้วนไม่มีคุณวุฒิให้เชื่อถือ
ได้เลยสินะ " ท่ามกลางความตะลึงงงงันของปวงชน เขาก็เดินลงจากเวทีและลับตาจากผู้คนไปอย่าง
เงียบงันไร้ร่องรอย ...


...มีเซียนพระอยู่รายหนึ่ง จับพระสมเด็จมาได้ในราคาไม่กี่แสนบาท นั่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่นชมกับผลงานที่ทำมา หน้าบาน กะไปปล่อยต่อรับรององค์นี้ไปหนี ๑๐ ล้านเหนาะๆ นั่งส่องพระเพ่งพินิจไปทุกมุมมองขององค์พระ พลิกซ้าย พลิกขวา พลิก หน้า - หลัง...ทันใดนั้นเหมือนต้องมนต์สะกด ...เหงื่อที่หน้าพาลไหลพรากลงมาอย่างไม่รู้ตัว อุทานเสียงแหบแห้งเบาๆออกมาว่า " ทำกับคนอื่นไว้เยอะ นี่ย้อนกลับมาหาตัวเราเองจนได้ นะนี่ ไม่น่าเลยเรา " กล่าวเสร็จก็บดขยี้พระสมเด็จในมือจนป่นโรยลงแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างไม่เหลือทราก ...


...เรื่องที่ ๑ แสดงว่ากรรมการทั้งหลายไม่มีคุณสมบัติที่คู่ควรจะมาเป็นกรรมการได้ ...
...เรื่องที่ ๒ ไปเจอตำหนิที่ตนเองทำเอาไว้ เข้าทำนอง " ดาบนั้นคืนสนอง " จริงๆนะครับ ...


...เซียนหมายถึงผู้ที่สำเร็จในทางธรรม เซียนพระในปัจจุบัน มีเยอะมีทั้งเซียนใหญ่ เซียนเล็ก เซียนจิ๋ว เซียนร่อนเร่ ฯลฯ ทุกคนล้วนอ้างอิงว่า ตนเองสำเร็จเป็นเซียนได้อภิญญา [ การดูพระ ] กันมาแล้วทำฤทธิ์ได้ตามปรารถนา [ ไม่มีผิดพลาด ] ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องเลอะเลือนมาก พระสมเด็จอายุต้องมีหลายร้อยปี เซียนในปัจจุบันอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปีสักคน ที่ดูพระต่างๆได้ก็อาศัยจากตำราหรือคนรุ่นเก่าๆบอกต่อกันมา ยังมีพระที่นอกตำรา นอกพิมพ์มีอยู่อีกมาก ที่พวกเขายังไม่รู้จักหรือสัมผัสมา...พอเห็นพระไม่คุ้นตาก็ว่า ผิดพิมพ์ ผิดเนื้อหา เก๊เก่าอะไรประมาณนี้ พระที่หายากและไม่คุ้นตามักจะถูกอัปเปหิออกไปนอกเส้นทาง ...


...ที่จริงการเป็นเซียนพระก็ไม่ได้ผิดกฏเกณฑ์อะไรนัก แต่ควรต้องมีคุณธรรมประจำใจกันบ้าง พระของเขาแท้ ก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้า อย่าไปกดราคาเขาอีก คนเอาพระมาขายก็เจ็บใจอยู่แล้ว แต่เพราะความจำเป็นบังคับ...อย่าให้พวกเขาผูกใจเจ็บบรรดาเซียนทั้งหลายอีกละ ...บางรายหนักเข้าไปอีกพอ
คนเอาพระมาให้เช่า รับพระได้ก็เข้าหลังร้าน สับเปลี่ยนพระเขาไปเสียอีก นั่น เป็นไร ...


... ทำไมถึงทำกับพวกเขาได้ ...






...เรื่องราวของเซียนยังมีมากมายหลายเรื่อง เอาไว้ผมค่อยๆเล่าให้ฟังทีละเรื่องๆก็แล้วกันนะครับ ...

...สวัสดี ...

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องของจิตเรื่องของใจ







... พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ...

" เราไม่เล็งเห็นสิ่งอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วได้เหมือนจิตเลย "

" จิตมีธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก "

... จิตหนึ่งนี้ ตลอดจนสังขารทั้งปวง จึงมีการแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลง เกิดดับ ...
เกิดดับๆๆ อยู่ตลอดเวลา ตามเหตุอันมาเป็นปัจจัยกันนั่นเอง เฉกเช่นดังเงา ...



... จิต เป็นตัวรู้และคิด นึก ปรุงแต่ง และเสวยอารมณ์ได้ ...
... มโน เป็นเครื่องมือรู้ความคิดนึกปรุงแต่ง เช่นเดียวกับตาเป็นเครื่องมือรู้รูป ...
... วิญญาณ เป็นสื่อที่จะให้จิตรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ...

... สิ่งที่เรียกว่า จิต มโนหรือวิญญาณนี้ ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป เกิดดับอยู่เรื่อย
... ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ขยายความว่า ...
... เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆ อยู่ทั้งในขณะตื่น และแม้ขณะหลับไป เช่นการฝัน ...
... อันที่จริงการเกิดขึ้นมาและดับไป เราก็ได้เผชิญกับมันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ...
... นั่นก็คือการนอนและตื่นขึ้นมาก็เป็นอาการ เกิดดับๆ อยู่แล้วเช่นกัน ...
... การกำเนิดขึ้นมา กับการตายลงไป ก็เหมือนกับการนอนและตื่นขึ้นมาในประจำวัน
นั่นเอง ... มนุษย์เราได้ประสบพบเห็นอยู่ในทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่สังเกตุกันเองต่างหาก ...



... ทุกวันนี้มนุษย์โลกเรานี้เริ่มสะสม ความโลภ โกรธ หลง ไว้จนเต็มเปี่ยม และเริ่มล้นทะลัก
ออกมา เผืิ่อแผ่มวลหมู่มนุษย์โลกด้วยกัน ด้วยการปลุกระดม เชิญชวน ให้มาร่วมด้วยช่วย
กัน ... ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลอย่างเฉียบขาดกับมนุษย์โลกที่กำลังหิวโหย และช่วยตัว
เองไม่ได้ ซึ่งต้องพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วยซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะต้องเกิดขึ้น ... จึงทำ
ให้เกิดทรราช ... นักบุญ นักปฏิวัติ ... กลุ่มผู้กู้ชาติ ... กลุ่มผู้ทำลายประเทศชาติ ฯ ขึ้นมา ...






... คนบางคนแต่ก่อนแต่ไร ใบหน้าดำเกรียม อิดโรย สง่าราศีไม่ปรากฏ หากินเลี้ยงท้องด้วย
ความยากลำบาก ... แต่ในเวลาต่อมาได้มีผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนได้กินอิ่มหมีพลีมัน ...อ้วนท้วนจน
หนอกขึ้นหนา ...ใบหน้ามีราศีอิ่มเอิบ เงินทองตุงเต็มกระเป๋า ...แต่นั่นย่อมหมายถึงตนจะต้อง
เป็นข้าทาส รับใช้เจ้านายผู้เปี่ยมล้นไปด้วย บารมี โลภ โกรธและหลง....กันอย่างเต็มที่ ... 


... ที่กล่าวเกริ่นเรื่องราวมาเช่นนี้นั้น ลองสังเกตุดูว่าล้วนเกิดมาจาก จิต + ใจทั้งสิ้น ... มีเงินเต็มกระเป๋า ... มีบ้านมีช่อง  มีรถมีลา ...สบายอยู่แล้ว แต่เราต้องมาแยกเรื่องออกมาว่า ... ที่มีเงินมีทองขึ้นมานี้นะ... เกิดจากการทำชั่วหรือทำดีกันละ ...ถ้าเกิดจากทำสิ่งที่ดีงามไม่เบียดเบียนใคร ... โอเค ... ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เห็นสวรรค์แน่นอน ... [ ได้บัตรขึ้นสวรรค์ ] ...
แต่หากเกิดจากการทำชั่ว ก็ยืนยันได้ว่า ...จะได้พบเห็นนรกแน่นอน ในชาตินี้และชาติหน้า ... 
[ ได้บัตรลงนรก ] ... ชัวร์ ...





... คำที่ว่า ...สวรรค์อยู่ในอก ...นรกอยู่ที่ใจ ...เป็นสัจจสูตรอย่างแน่แท้ ...

... คนเราจะมีใบหน้าที่อิ่มเอิบ เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลนั้น ทำไม่ยากหรอกครับ ...แต่ลำดับแรก
ที่ต้องทำให้ได้ก่อนก็คือต้องปลอดหนี้ หมายถึงเราต้องไม่มีหนี้สิน พันธะใดๆทั้งสิ้น ... 
[ ดูภาพของผมเป็นต้น หน้าอิ่มเอิบโดยที่ยังไม่ได้ร่ำรวย อะไรนัก ] 
ต่อจากนั้นก็ต้องเริ่มทำตัวตามนี้ก็คือ ... โลภให้น้อยๆ ... โกรธให้น้อยๆ ... หลงให้น้อยๆ ลง
ห้ามคิดเล็กคิดน้อย ใจน้อย ให้ทำใจใหญ่เข้าไว้ แต่ไม่ใช่ใจโต เลิกเห็นว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ
ดีกว่าชาวบ้าน ท่อง สุ จิ ปุ ลิ ...คือ ทักษะของนักปราชญ์หรือบัณฑิตพึงมี ...
[ ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ] 
...ซึ่งมีความหมายย่อๆดังนี้คือ ...

๑. สุ  ย่อมาจากคำว่า  สุตตะ แปลว่า การฟัง
๒. จิ  ย่อมาจากคำว่า จิตตะ  แปลว่าการคิด
๓. ปุ  ย่อมาจากคำว่า  ปุจฉา แปลว่า การถาม
๔. ลิ  ย่อมาจากคำว่า  ลิขิต   แปลว่า การเขียน 


... ในปัจจุบันนี้ การอ่านสำคัญมาก ดังนั้นความสำคัญของการอ่านและการฟังเป็นสิ่งสำคัญ
ในระดับเดียวกันได้เลย จนามารถกล่าวได้ว่า ... ฟังหรือ อ่าน คิด ถาม เขียน ก็คือ ...
... ทักษะของคนเก่งนั้นเอง ...


" ฟังอะไร ฟังให้หมด  จดให้มาก  ปากต้องใช้  ใจต้องคิด "
...จึงจะเป็นปราชญ์ [ บัณฑิต ] ที่แท้จริง ...


      
หลังจากนั้นให้ท่องคาถาว่า ... รู้จักพอ ก่อสุข ทุกสถาน ... เอาไว้ในใจเสมอ ... ใครเขามีรถ
เก๋งราคาหลายสิบล้าน ก็อย่าไปอิจฉาเขา ...หรือใครเขาจะรวยล้นฟ้า [ เหมือนทักษิณ ] ก็ไม่
ต้องสนใจ ดีใจไปกับเขาซะด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ... เลิกประจบสอพลอเจ้านาย ทำงานอย่าง
เต็มความสามารถของเรา ...สวดมนต์ ทำสมาธิ ดูแลครอบครัว เป็นอย่างดี ...
... เท่านี้จิต + ใจ เราก็สงบ ... พระนิพพานก็อยู่แค่เอื้อมเราเท่านั้น ...





... สวัสดีครับ ไว้พบกันใหม่ ...

... บทความ อ.ธนเทพ ปฏิพิมพาคม ...
ลิงค์ไปที่ ...

ศาสตร์แห่งการพยากรณ์

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

สิ่งอัศจรรย์ใจจาก ล.ป.บุดดา ถาวโร








... เรื่องที่ ๑ ... เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ...


... ในช่วงปี ๒๕๓๕ ... ค่ำคืนวันหนึ่ง มีคนมาถ่ายทำภาพอริยาบทต่างๆของ ล.ป. บุดดา 
ในวันนั้นอากาศค่อนข้างอบอ้าว ...ร้อนเอาเรื่อง คณะถ่ายทำยังได้นำสปอทไลท์ มาอีก
ด้วย จึงทำให้เพิ่มอุณหภูมิความร้อนเข้าไปอีกเท่าตัว ... ผมมองไปทางหลวงลุงเห็นเหงื่อ
เม็ดเป้งๆ ขึ้นอยู่เต็มใบหน้าท่าน เหลียวมองไปทางพระที่มาสัมภาษณ์ ก็เห็นเหงื่อไหลออก
มาเต็มตัวท่านเช่นเดียวกับหลวงลุง...ผมก็ภาวนาให้สัมภาษณ์เสร็จเร็วๆ พระท่านจะได้ ...
คลายร้อนกันได้บ้าง ...


... พอนึกมาถึงตอนนี้ก็นึกสงสารหลวงปู่บุดดา ว่าท่านก็คงจะร้อนไม่แพ้กันแน่ๆ จึงมองไป
ที่ใบหน้า ล.ป. บุดดา ...ในนาทีนั้นผมกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเห็นด้วยตา
เปล่า...ว่าบนใบหน้าของ ล.ป.ไม่มีเหงื่อผุดขึ้นเลย...สักเม็ดเดียวก็ไม่มี ...? ใส...เนียน มีแต่
คราบแป้งติดอยู่มองลงไปตามตัวท่านก็ไม่เห็นริ้วรอยของเหงื่อแม้แต่หยดเดียว ... 
ในขณะนั้นเหงื่อของผมเองต่างหากที่ผุดขึ้นมาเป็นระลอกๆ ... จนชุ่มหลังไปหมด ...


... ผมเป็นคนขี้สงสัย ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ทางด้านข้างของ ล.ป. บุดดา ...แล้วเอื้อมมือ
ไปสัมผัสกับแขน ล.ป. ปรากฏว่าเหงื่อ ล.ป.ไม่มี แม้แต่น้อยนิด ... ทันใดนั้น ล.ป.ก็หันมายิ้ม
กับผมชั่ว ๓ วินาที ...แล้วจึงเบือนหน้ากลับไปที่เดิมของท่าน ...ในสายตาของ ล.ป.บุดดา
ฉายแววเมตตาและอ่อนโยน เหมือนท่านรู้วาระจิตผมว่าตอนนั้นคิดอะไรในใจอยู่ ...สรุปก็
คือ ร่างกายของ ล.ป.สามารถปรับอุณหภูมิได้เอง ไม่มีร้อนไม่มีหนาว ... 








... เรื่องที่ ๒ ... รับรู้วาระจิตระยะไกล ...


... เมื่อตอนงานวัดเกิด ล.ป. บุดดา อายุครบรอบ ๙๙ ปี ผมก็ได้ไปที่วัดกลางชูศรี ฯ ... ระหว่าง
ที่เดินอยู่ที่บริเวณศาลาการเปรียญ หลังที่ ๒ ตรงนั้นผมเห็นมีนาฬิกาเป็นรูป ล.ป. อยู่จำนวนหนึ่ง
จึงเดินเข้าไปดูเห็นสวยดี...ระหว่างที่จับยกขึ้นดูนั้นก็คิดแว๊บนึงขึ้นมาว่า ...
" ตอนนี้ ล.ป.อยู่ที่ศาลาคนละหลังกัน เราจะลองขอนาฬิการูป ล.ป.นี้ และจะขอเผื่อไปฝากคุณพ่ออีกอัน ลองดูซิ ล.ป.มีเจโต ฯ จะได้ยินที่เราขอใหม?...เอ่ย... " 


พอคิดเสร็จได้ประมาณ ๕ วินาที ... หลวงลุงก็เดินตรงมาหาผมทันทีแล้วกล่าวว่า ...
" โยมเอ็กซ์ ชอบมั๊ย ...รูปปู่ในนาฬิกานี่ทำไว้แจกพระผู้ใหญ่ที่มาในงาน โยมอยากได้ก็หยิบ
เอาไปเลยเดี๋ยวหมดแน่ๆ ... อ้อเอาไปฝากโยมพ่อด้วยอีกหนึ่งอันด้วยละ..." 
... ผมได้ฟังหลวงลุงพูดออกมาดังนี้ ก็มีอาการขนลุกขนชันขึ้นมาในทันที คิดในใจว่า ...ชรอย
ล.ป.กลัวไม่ทันการจึงดลจิตถ่ายทอดคำสั่งไปที่หลวงลุงเป็นแน่แท้ ไม่ต้องสงสัย ...
ว่าแล้วผมก็รีบกล่าวคำขอบคุณหลวงลุง และหยิบนาฬิการูปปู่ ๒ อันทันที ...






... เรื่องที่ ๓ ... ตาทิพย์ สั่งสอนคนทุศีล ...


... ณ.ศาลาที่บูชาวัตถุมงคลของ ล.ป.บุดดา ที่วัดกลางชูศรีฯ ตอนนั้นผมก็ยืนช่วยพระ
ท่านจัดวัตถุมงคลให้กับญาติโยมที่มาบูชา  วันนั้นคนมากันเยอะมาก แน่นศาลาไปหมด
จะว่าเป็นวันงานสำคัญก็ไม่ใช่ เป็นแค่วันหยุดธรรมดา  ในกลุ่มผู้ที่มาเช่าบูชาวัตถุมงคล
มีอยู่พวกหนึ่งที่มีพฤติกรรมแปลกๆ  วนเวียนเข้ามาบูชา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าเดิมๆ แต่เช่า
ทีละองค์ ๒ องค์ ดูมั่วไปหมด ...มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก ...


... ผมช่วยอยู่ซักพักใหญ่พอเห็นว่าผู้คนเริ่มซบเซาลง ก็เดินมาที่ศาลาหน้าห้องนอน ล.ป.
บุดดา ... เห็นญาติโยมกำลังเข้าไปให้ ล.ป.ให้ศีลให้พร ...ผมก็เดินไปนั่งข้างๆท่าน ช่วย...
หยิบและยกของที่คนมาบริจาคให้ ... ส่วนใหญ่ ล.ป.จะเคาะแป้งเสกให้กับผู้ที่มาหา ...
แต่แล้วก็มีอยู่ราย เป็นผู้หญิง พอเข้ามาหา ล.ป.ท่านก็เทแป้งให้ที่มือแต่แป๊บเดียวก็เปลี่ยน
ไปละเลงให้ที่ศรีษะ แถมโขกแป้งไปที่ศรีษะไปมาอยู่หลายครั้ง พร้อมกับดุออกมาว่า ...
" พวกนี้ไม่รู้จักเกรงกลัวบาป ของๆวัดยังไม่ยอมละเว้นกัน มันน่าละอายยิ่งนัก " ...


... ผมดูหน้าผู้หญิงคนนั้นรู้สึกคุ้นๆ และแล้วก็จำได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับพวกที่มาบูชาวัตถุ
มงคล ที่ศาลาที่ให้บูชาวัตถุมงคลนั่นเอง ผมประมวลภาพแล้วคิดขึ้นมาได้ว่า ...ชรอย
บุคคลเหล่านี้คงทำการโจรกรรมวัตถุมงคลตอนที่คนมาบูชากันอยู่คับคั่งในตอนนั้นกระมัง
และ ล.ป.ท่านล่วงรู้ได้ด้วยวิชา ทิพยจักษุญาณ ... เพราะเคยได้ยิน ล.ป.เคยบอกว่า ... เมื่อ
เวลาคนเราทำชั่วอะไรมา จะเกิดสีแดงติดมากับตัว ดังนั้นพระเกจิอาจารย์ที่มี ... ตาทิพย์
ย่อมมองเห็นสีต่างในตัวมนุษย์ในยามที่เพิ่งทำดีมา หรือเพิ่งทำชั่วมา ได้อย่างแน่นอน ...


... พักใหญ่ ล.ป.ก็กลับเข้าไปในห้องนอน ซึ่งก็ยังมีผู้คนตามไปขอพรกันอีกเหมือนเดิม ...
ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งส่งวัตถุมงคลถุงใหญ่มาเพื่อจะให้ ล.ป.เสก พอเห็นหน้าผูหญิงคนนั้น 
ล.ป.ก็จับแป้งเสกโขกไปที่ศรีษะ อย่างไม่หยุดยั้ง และปล่อยกระป๋องแป้งเสกไปที่ผู้หญิง
คนนั้นอย่างแรง ...พร้อมกับกล่าวออกมาว่า " โกงของวัด ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด "
ผมมองหน้าผู้หญิงคนนั้นก็พลันจำได้ว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนที่โดนเขกหัวอยู่หน้าห้อง
ล.ป. นั่นเอง ไม่ผิดตัว ...







... พลังเมตตาแป้งเสก ล.ป.บุดดา ...


...เมื่่อประมาณปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ในตอนนั้ั้นผมเล่นดนตรีอยู่ที่ "ปิกาซัส"ถนนสุขุมวิทย์...เมื่อเลิกจากงานในตอนตี ๑...หลังจากได้กินอาหารรอบดึกเสร็จสรรพ ผมก็จะเดินทางไปหา ล.ป.บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี...เจริญสุข...แทบทุกคืน...สมัยนั้นหนทางค่อนข้างทุรกันดาร ลำบากอยู่พอควรแต่เนื่องจากมีความศรัทธา...และมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปหาล.ป.บุดดาซึ่งเป็นที่เคารพรักของผม......ผมจึงเดินทางไปกราบคารวะท่านอยู่เป็นประจำ...


     มีอยู่ครั้้้งหนึ่งได้เดินทางไปเยี่ยมท่านที่สิงห์บุรีตามปกติ...ไปถึงที่วัดก็ประมาณ ตี ๔-๕ เพื่อช่วยเช็ดตัวล.ป.บุดดา...โดยปกติล.ป.ท่านจะไม่สรงน้ำ...นอกจากเช็ดตัวเท่านั้น...ในวันนั้นผมอยู่ที่วัดจนกระทั่งถึงเวลา๑๔ น.เศษก็เข้าไปกราบลาล.ป. ได้แป้งเสกของท่่านมา ๑ กระป่อง และท่านก็เทแป้งใส่มือผมอีก...

ผมก็เอาผัดหน้าตัวเองจนหน้าขาวว่อง...ระหว่างที่จะเดินทางกลับ...ผมก็บอกพรรคพวกที่
ตามมาด้วยอีก ๔ คนว่าเดี๋ยวจะแวะหาล.พ.แพรที่วัดพิกุลทองซักหน่อยซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย ...


     พอมาถึงวัดพิกุลทอง ปรากฎว่าล.พ.แพรท่านไม่อยู่...พวกผมก็เลยแวะเข้าไปดูที่ห้องวัตถุมงคลของท่าน...ผมได้เช่าบูชาพระรูปหล่อเนื้อเงินไปอยู่หลายองค์...องค์ละ ๔๐๐บาท...แต่ก็ยังมีอีก ๒ องค์ที่ยังอยากได้...แต่กลัวว่าเงินจะไม่พอเติมน้ำมันรถ...แต่มือก็ยังคงกำพระ ๒ องค์นั้นอยู่ไม่ยอมวาง...พระที่ดูแลวัตถุมงคล...เห็นผมลังเลใจอยู่ท่านจึงพูดถามว่า"ทำไมโยมไม่บูชาไปอีกเล่า?"ผมก็ตอบไปว่า"วันหลังผมค่อยมาบูชาใหม่ก็ได้ครับ...เงินหมดพอดี..."พระท่านก็กล่าวว่า
"ไม่เป็นไรหรอกโยม...อาตมาให้...เอาไปเลย"
ผมรู้สึกดีใจและฉงนใจในเวลาเดียวกัน...กล่าวขอบคุณท่าน...


     พอเดินลงมาชั้นล่างก็เหลือบมองเห็นมีที่ให้บูชาหนังสือทำเนียบรุ่นของล.พ.แพรอยู่...จึงเดินไปดูแล้ว...หยิบมาดูเล่นเล่มหนึ่งเป็นปก ๔ สีสวยงาม...เห็นติดราคาค่าบูชาอยู่ ๑๒๐ บาท...มองอยู่อึดใจหนี่งคิดได้ว่าเงินไม่พอบูชาแน่...จึงจับหนังสือวางลงไปในที่เดิม...และจะเดินออกมา...ทันทีทันใดเด็กที่ดูแลอยู่กล่าวว่า...

"พี่ไม่ชอบหนังสือหรือครับ?"
ผมตอบว่า"ชอบซิน้อง...แต่เงินพี่หมดพอดี..."เด็กตอบว่า"พี่เอาไปเลย...ผมให้..."พร้อมกับส่งหนังสือให้...

ผมก็รู้สึกแปลกใจ...รับหนังสือไว้...แล้วก็กล่าวขอบใจเด็กไป...เดินทางกลับกรุงเทพ...


     ระหว่างเดินทางกลับ...พอไปได้ซักพักหนึ่ง...ก็ได้เห็นรถยนต์คันหน้าชนสุนัขกระเด็นไปข้างทางนอน...แน่นิ่งไม่ไหวตัว...แล้วก็ขับรถจากไปโดยไม่เหลียวแลมันเลย...ชาวคณะผมเป็นคนรักสัตว์อยู่เป็นทุนเดิม...ก็เลยจอดรถยนต์...และลงไปดูอาการ...เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง...แว๊บนึง...ผมได้คิดว่าแป้งเสกของล.ป....คงจะช่วยอะไรได้บ้าง...ไม่มากก็น้อย...จึงคว้าหยิบลงไปด้วย...

     พอไปถึงที่เกิดเหตุ...ก็เห็นสุนัขตัวนั้นนอนแน่วนิ่งไม่ขยับตัวเลยซักนิด...ผมก็เลยเอาแป้งที่หยิบลงไป...โรยไปที่ตัวมันอยู่ประมาณ๕-๑๐วินาที...และแล้วทันใดนั้น...มันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา...แล้วค่อยๆเดินเหยาะ...เข้าไปที่ข้างทางช้าๆจนลับตาไป...ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกเราทุกคน...

ผมจึงตระหนักได้ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้...ล้วนเกิดขึ้นจากพลังเมตตาแป้งเสกของ...ล.ป.บุดดา...อย่างแน่แท้...และแน่นอน...










... ผมเคยถาม ล.ป.บุดดา ว่า ... " ถ้าจะไปเชียงใหม่ ล.ป.จะไปแบบไหนครับ ... " 
ล.ป.ตอบว่า " ก้าวเดียวก็ถึง " 
... ผมถามต่อว่า " ไปยังไงครับ " 
... ล.ป.เงียบไม่ตอบ หัวเราะหึๆ ...


... ปริศนาธรรมหลวงปู่ บุดดา ...

... มีอยู่วันหนึ่งที่ผมนอนอยู่ในห้องนอน ล.ป.บุดดา ด้วย โดยปกติที่ผมเห็น ล.ป. ไม่ค่อย
ได้นอนหรอก ท่านนอนอยู่ก็จริง แต่ตาไม่หลับ มองไปบนอากาศธาตุ แล้วก๋ให้พรไปเรื่อยๆ
แทบตลอดคืน ที่ผมตื่นมาเห็นท่าน ...คิดเอาเองว่า คงจะมีเทพ เทวาฯ มากราบคารวะ ล.ป.
อยู่ตลอดเวลา ...ทั้งคืน ...

... ในคืนวันนั้น ผมตื่นมาเห็นล.ป.นอนจับผ้าห่มรูดด้วยมือทีละมุม จนครบ ๔ มุม อย่างช้าๆ
ทำอยู่เช่นนั้นเป็น เกือบ ช.ม. ซึ่งเปรียบดั่งเป็นปริศนาธรรมให้ชวนขบคิดว่า ...
... หมายถึง ... อริยสัจจ ๔ ...เกิด แก่ เจ็บ ตาย ฯลฯ เป็นไปได้มากหลาย ...
...ไปจบอยู่ที่คำว่า " นิพพาน " ...
... ยามนั้นก็เข้าภวังค์ ... กายเดียว จิตเดียว ... เข้าสู่สภาวะนิทรา ในบัดดลนั้นเอง ...

... สวัสดี ...


... ลิงค์ไปที่ ...
ประมวลภาพ ล.ป.บุดดา ถาวโร

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557

หลวงปู่ต้นบุญ







... ล.ป.ต้นบุญ ...


 ... ป่วยใจ ...


ป่วยใจ รักษากายได้ รักษาใจไม่ได้
ใจยังป่วยกว่ากายเสียอีก
ไม่ว่าเอายาอะไรไปใส่ ก็ไม่พอ

บางทีธรรมะก็ไม่เข้าใจ
ถึงกินพระไตรปิฎกเข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
บางทีธรรมะเล็กๆ สั้นๆ อาจจะช่วยก็ได้
แบ่งแยกให้เป็นสัดส่วน
หากกายเป็นภาระ ก็พัฒนากายเสีย
หากจิตเป็นภาระก็พัฒนาจิตเสีย
หากทั้งกายและจิต
ก็พัฒนาทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน ...
























... ทุกข์มีไว้ให้พิจารณา ให้เรียนรู้ ให้ค้นหา ...


...ที่ดิ้นรนขวนขวายในโลกนีช่างน่าเวทนาเหลือเกิน เรามิปลดปล่อยตัวเรา
แต่เรากับกักขังตัวเราเองไว้   ทุกข์มีไว้ให้พิจารณา ให้เรียนรู้ ให้ค้นหา
มิใช่มีไว้เพื่อทุกข์เพียงอย่างเดียว ...











... คำสอนของหลวงปู่ต้นบุญ ...














... ในส่วนตัวผมเองนั้น มีความเคารพในปฏิปทาของหลวงปู่ต้นบุญมาเนิ่นนานแล้ว ได้เคย

ประสบพบตัวท่านที่กรุงเทพ และได้เคยไปกราบกรานเยี่ยมเยียนท่านที่วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช 

ที่ ...จังหวัดร้อยเอ็ด ...หลายปีผ่านมาแล้ว ...ซึ่งยังอยู่ในความทรงจำอย่างมิรู้ลืม ...

... สวัสดีครับ ...

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

ไปนิพพานแบบโง่ๆ






... ย้อนหลังไปเมื่อ ๓๙ กว่าปีที่แล้ว ราวๆปี พ.ศ. ๒๕๑๙ สมัยนั้น คุณพ่อของผม ...
... พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม ยังดำรงตำแหน่ง จเร ตำรวจอยู่ ... ได้มีพล.ต.ต.สมศักดิ์
ซึ่งเป็นนายแพทย์อยู่ที่ ร.พ.ตำรวจ ในขณะนั้น ได้เล่าเรื่องราวแปลกประหลาดมหัศจรรย์
พันล้นให้คุณพ่อฟังเรื่องหนึ่ง ... เรื่องราวมีดังนี้ ...

... จากปากคำอาสมศักดิ์ ... [ ลูกศิษย์ ล.พ.ฤาษีลิงดำ ]

... มีอยู่วันนึง ผมไปตรวจดูอาการของคนใข้ ปรากฏว่าดูท่าน่าจะไม่รอดพ้นจากความตาย
ภายในอาทิตย์หน้าอย่างแน่นอน ... หน้าตาคนใข้ในตอนนั้นก็หมองคล้ำ ซีดเซียว อิดโรย
เป็นอย่างมาก จึงได้แนะนำให้คนใข้ นึกถึงพระพุทธเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว และให้หารูปพระพุทธเจ้ามาดูไปด้วย พร้อมกับให้ภาวนา พุทโธ ...ซึ่งคนใข้ก็รับปากรับคำเป็นอย่างดี ...

... หลังจากวันนั้นผ่านไปได้ประมาณ ๖ - ๗ วัน พยาบาลก็มาแจ้งผมว่าคนใข้คนนั้นได้เสีย
ชีวิตลงแล้ว ... ผมจึงรีบเดินไปดูอย่างรวดเร็ว พอไปถึงที่เกิดเหตุ ก็เห็นคนใข้นอนสิ้นชีวิต
ด้วยอาการสงบ แต่ที่ผมเห็นว่าผิดปกติ ก็คือ ใบหน้าของคนใข้กับอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล ...
เปล่งปลั่งอย่างเหลือเชื่อ ผิดกับวันที่เห็นในคราวก่อนราวกับ หลังมือเป็นหน้ามือ
 ยังไงอย่างงั้น ...

... ผมก็ได้แต่เก็บอาการ ... สงสัยและประหลาดใจเอาไว้ภายใน...มิได้บอกกล่าวต่อผู้ใด...






... มีอยู่วันหนึ่งได้ไปกราบนมัสการ ล.พ.ฤาษีลิงดำที่บ้านเจ้ากรมเสริม ... พอมีโอกาสก็ได้
ถาม ล.พ.ถึงเรื่องราวของคนใข้ดังกล่าว... ล.พ.ฤาษี รับฟังเสร็จก็หลับตาลงไปชั่วอึดใจ ...
พอลืมตาขึ้นมาก็หัวเราะในลำคอและกล่าวขึ้นมาว่า " มันไปนิพพานแบบโง่ ๆ นะ " ...
... อาสมศักดิ์สงสัยจึงถามขึ้นมาว่า " เรื่องราวเป็นยังไงกันครับ " ...
หลวงพ่อก็ตอบมาว่า " เมื่อกี้ตามไปดู ปรากฏว่าเห็นคนใข้นั่งกราบอยู่ต่อหน้าพระพักตร์
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ...แสดงว่าช่วงเวลาภายใน ๗-๘ วันก่อนสิ้นชีวิต เฝ้าดูแต่รูป
พระพุทธองค์และภาวนา พุทโธ ถึงพระองค์ตลอดเวลา จึงทำให้จิตมีพลังขับดันนำพาให้
มาพบกับพระพุทธองค์ ได้ในที่สุด ..."


... เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ได้ว่า...จิตประหวัดก่อนที่จะสิ้นชีวิตมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ...
คิดแต่เรื่องดีๆ ก็จะนำพาไปสู่ภพที่ดีได้ ... หากคิดแต่เรื่องชั่วๆ ย่อมจะนำพาไปสู่ภพที่...
ต่ำต้อยติดธุลีได้ ...







... ส่วนตัวผมได้พบกับ ล.พ.ฤาษีทั้งหมด ๓ ครั้ง ...ด้วยกัน ...

...เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๑ มีดังนี้ ...


... ตอนนั้นเป็นพ.ศ.อะไรนั้นไม่ทราบแน่ชัด [ ลืมนะซี...ก็ปีนี้ ๖๒ เข้าไปแล้ว ] น่าจะไม่น้อย
กว่า ๓๐ ปีขึ้นไป  ผมเล่นดนตรีอยู่ที่เชียงใหม่ ได้พาพรรคพวกไปกราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ฯ
ซึ่งได้มาจำวัดอยู่ที่บ้านเจ้ากรมเสริมฯ ...ในวันนั้นผู้คนมากมาย ล.พ.ตอนนั้นยังผอม สูงโปร่งอยู่ ท่านนั่งอยู่องค์เดียวที่สนามหญ้าหน้าบ้านเจ้ากรมเสริมฯ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ ...
แต่พอดีเพื่อนผมชื่อเบิ้ม [ มือกลอง ] มีลูกชายชื่อ...เติ้ล...อยากให้ ล.พ.เป่าหัวให้ลูกชาย ...
จึงรบเร้าผมว่า " ทำยังไงดี? ละ...เอ็กซ์..." ผมทนเพื่อนเซ้าซี้ไม่ได้ก็เลยบอกเบิ้มว่า ...
" เอาเจ้าเติ้ลมานี่ี...เดี๋ยวจัดการเอง ..." พอคว้าตัวเจ้าเติ้ลได้ก็จูงตรงรี่เข้าไปหาล.พ.ฤาษีฯ 
ในทันที...


... ในใจ ณ.ขณะนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดกับท่านยังไงดี เพราะพึ่งจะได้มาพบปะ นมัสการท่าน 
ก็เป็นวันนี้นะแหละ...กำลังจูงเจ้าเติ้ลไปเพลินๆ แป๊บเดียวเกือบถึงตัว ล.พ.อยู่แล้ว ห่างอยู่ราว
วาเศษๆ ... หลวงพ่อก็ตะโกนออกมาว่า " อ้าว ! มาทำอะไรกัน ... " 
... ผมยิ้มหวานทำใจดีสู้หลวงพ่อกล่าวว่า " เจ้าตัวเล็กนี่อยากให้ ล.พ.ลงกระหม่อมให้หน่อย
ครับ " ล.พ.เค้นเสียงกล่าวว่า " อุบ๊ะ ... เจ้านี่ มันตื๊อจริงเว่ย " 
...ผมตอบไปอีกว่า " หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ให้ด้วยครับ " พูดไปก็เคลื่อนตัวเข้าไปหา ล.พ.
จนเกือบถึงตัวองค์ท่าน ... ล.พ.บ่นพึมพัมว่า " จนได้นะนี่ " ...


... ผมส่งตัว [ ที่แท้ดันตัวต่างหาก ] เจ้าเติ้ลจนถึงหน้าตักท่านจนได้...ท่านก็เมตตา เป่า ...
กระหม่อมให้เจ้าเติ้ล จนได้ในที่สุด ...เป็นที่ปลาบปลื้มของเจ้าเบิ้มพ่อของมันเป็นยิ่งนัก ...
...แต่ผลที่ตามมาก็คือ บรรดาญาติโยมที่ีมาในงานเมื่อเห็นคณะของผมเข้าไปหา ล.พ.ได้
จึงพากันแห่เข้ามากันเนืองแน่นไปหมด ...

... หลวงพ่อจึงพูดขึ้นมาว่า ...

" เจ้าตัวดี...เป็นยังไงเป็นตัวนำพามาดีนัก ..." 

... ผมตอบว่า " งั้นผมขอรางวัลจากหลวงพ่อ...ครับ " 

...หลวงพ่อพยักหน้าและกวักมือให้เข้าไปหาท่าน ...ผมรีบเข้าไปกราบถึงตัวท่าน ...ท่านพูดว่า

" ต้องให้รางวัลหนักๆหน่อย " พลางคว้าดินสอที่อยู่ใกล้มือท่านเขกหัวผมมาโป๊กใหญ่ แล้ว

ถามผมว่า " เจ็บไหม? ...เอาอีกไหม ?..." ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกล่าวตอบท่านไปว่า ...

" ไม่เจ็บครับ...หลวงพ่อเคาะหัวผมตามสบายเลยครับ ..."

... ท่านเขกลงไปทั้งหมดนับได้ ๕ ครั้ง แล้วหยุุด ...ถามผมอีกว่า " เอาอีกไหม? " 

ผมตอบว่า " แล้วแต่หลวงพ่อพอใจครับ " ท่านเขกต่อมาอีก ๓ ครั้งแล้วก็หยุด ...

แล้วท่านก็พูดมาว่า " เอาพอดีแล้ว " 


... ตกลงวันนั้นเท่ากับว่าผมเป็นคนนำพาญาติโยมทั้งหลายเข้าไปหาท่านจนได้ ...
หลังจากวันนั้นมาไม่กี่วันก็ถึงวันหวยออก เลขที่ออก ๒ ตัวก็คือ ๕๓ ...
...เท่ากับที่ ล.พ.ฤาษีเขกหัวผมพอดี ...แต่ประทานโทษ ไม่ได้ซื้อหรอกครับ [ไม่เคยซื้อ ]
...วันนั้นผมไปกันทั้งหมด ๕ คน ผู้ชาย ๓ คน ... เข้าเค้าอีกละ ...

... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ  ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๑ ...






... เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๒ มีดังนี้ ...

... ในกาลเวลาต่อมาจากคราวที่แล้ว ผมก็ได้มีโอกาสไปนมัสการ ล.พ.ฤาษี กับ คุณพ่อ
ที่บ้านเจ้ากรมเสริม ซอยสายลม ...ในวันนั้นญาติโยม คับคั่ง เพราะเป็นวันที่ ล.พ.ออกจาก
" สมาบัติ " ... พอถึงคิวของผม [ ต่อจากคุณพ่อ ] ผมได้เห็นใบหน้าที่ผุดผ่องของท่าน...
แต่ที่น่าสังเกตุก็คือ ดวงตาของท่านจะเป็นสีแดงสด...ท่านยิ้มให้ผมและกล่าวคำว่า...
" เจริญพร " ในขณะนั้นผมรู้สึกปิติและตื้นตันใจเป็นยิ่งนัก ... กล่าวคำว่า " สาธุ " ออกมา
เบาๆ ได้ยินคนเดียว ...

... พอออกจากห้องนั้นมาก็เดินออกมาทางด้านนอกของตัวบ้าน [ วันนั้นคนเยอะมาก ]
พอดีเห็นกล้องวงจรที่ติดอยู่ ...เกิดแว๊บขึ้นมาว่า ... เราจะกลับแล้วลองกราบลาท่านตรงทีวี
วงจรนี้ท่านจะเห็นเรามั๊ยหนอ ? ... ว่าแล้วก็ยกมือไหว้ที่หน้าทีวีวงจรนั่นเลยละ...ทันใดนั้น
ในภาพที่ผมเห็นก็คือ ท่านหันหน้ามามองกล้องวงจร ...ยกมือขึ้นและกล่าวว่า ...
 " เจริญพรโยม "แล้วท่านก็หันหน้ากลับไปทางเดิม ให้พรญาติโยมต่อไป ...
... ในนาทีนั้นคำว่า " เจโตปริยญาณ " ก็ผุดขึ้นมาในสมองผมในทันที ...


... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ  ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๒ ...









... เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๓ มีดังนี้ ...

... ในกาลเวลาต่อมา ก่อน ล.พ.ฤาษี มรณภาพ ๒ เดือน คุณอา สิทธา เชตวัน ...
[ ในตอนนั้นคุณอายังไม่ได้บวช ] ได้ชวนผมไปเที่ยวที่วัดป่าท่าซุง ฯ เพื่อนมัสการ ล.พ.
ฤาษี ... เมื่อไปถึงก็พบเห็นท่านเจ็บที่ข้อเท้า เพราะบวมมาก และร่างกายท่านตอนนั้นก็
อ้วนขึ้นมาก...เวลาท่านเดินเหินจึงไม่ค่อยสะดวกนัก ...ในวันนั้นผมขออนุญาตท่านถ่ายรูป
ซึ่งท่านก็อนุญาต ผมจึงได้ถ่ายรูปท่านด้วยตนเอง ๒ รูป [ หายังไม่เจอเลยจ้า ... ] หลังจาก
นั้นก็นั่งคุยกับท่านอยู่พักใหญ่ มีอยู่ตอนนึง... ผมถามท่านว่า ...

 " ต่อไปในอนาคต ผมจะบรรลุสู่ ... อริยบุคคล ขั้นไหนครับ ล.พ. " 
ท่านมองหน้าผมแล้วกล่าวว่า " อย่างน้อยก็สกิทาคามีละว่ะ ! "


... พอผมได้ฟังท่านกล่าวอย่างนั้น ให้รู้สึกปลื้มเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังวิจิกิจฉา [ สงสัย ]
คิดในใจว่า... ระดับพระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อ เจอข้อที่ ๑ สักกายทิฏฐิ ยังมึนเลย
นี่ถ้าเราได้ระดับ สกิทาคามี ต้องละสังโยชน์ ๕ ข้อ ไม่ยิ่งหนักข้อ เข้าไปอีกรึนี่ ? ...
แต่คิดไปคิดมา ต้องพยายามเชื่อ ล.พ.ไว้ก่อน จะเป็นต่อกว่า ...พอคิดได้เช่นนั้นจิตใจก็
พลอยสงบลงไปได้อย่างรวดเร็ว ...และนิ่มนวลลง ในที่สุด ...


... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ  ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๓ ...



... ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ...





... สวัสดีครับ ...