... ย้อนหลังไปเมื่อ ๓๙ กว่าปีที่แล้ว ราวๆปี พ.ศ. ๒๕๑๙ สมัยนั้น คุณพ่อของผม ...
... พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม ยังดำรงตำแหน่ง จเร ตำรวจอยู่ ... ได้มีพล.ต.ต.สมศักดิ์
ซึ่งเป็นนายแพทย์อยู่ที่ ร.พ.ตำรวจ ในขณะนั้น ได้เล่าเรื่องราวแปลกประหลาดมหัศจรรย์
พันล้นให้คุณพ่อฟังเรื่องหนึ่ง ... เรื่องราวมีดังนี้ ...
... จากปากคำอาสมศักดิ์ ... [ ลูกศิษย์ ล.พ.ฤาษีลิงดำ ]
... มีอยู่วันนึง ผมไปตรวจดูอาการของคนใข้ ปรากฏว่าดูท่าน่าจะไม่รอดพ้นจากความตาย
ภายในอาทิตย์หน้าอย่างแน่นอน ... หน้าตาคนใข้ในตอนนั้นก็หมองคล้ำ ซีดเซียว อิดโรย
เป็นอย่างมาก จึงได้แนะนำให้คนใข้ นึกถึงพระพุทธเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว และให้หารูปพระพุทธเจ้ามาดูไปด้วย พร้อมกับให้ภาวนา พุทโธ ...ซึ่งคนใข้ก็รับปากรับคำเป็นอย่างดี ...
... หลังจากวันนั้นผ่านไปได้ประมาณ ๖ - ๗ วัน พยาบาลก็มาแจ้งผมว่าคนใข้คนนั้นได้เสีย
ชีวิตลงแล้ว ... ผมจึงรีบเดินไปดูอย่างรวดเร็ว พอไปถึงที่เกิดเหตุ ก็เห็นคนใข้นอนสิ้นชีวิต
ด้วยอาการสงบ แต่ที่ผมเห็นว่าผิดปกติ ก็คือ ใบหน้าของคนใข้กับอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล ...
เปล่งปลั่งอย่างเหลือเชื่อ ผิดกับวันที่เห็นในคราวก่อนราวกับ หลังมือเป็นหน้ามือ
ยังไงอย่างงั้น ...
... ผมก็ได้แต่เก็บอาการ ... สงสัยและประหลาดใจเอาไว้ภายใน...มิได้บอกกล่าวต่อผู้ใด...
... มีอยู่วันหนึ่งได้ไปกราบนมัสการ ล.พ.ฤาษีลิงดำที่บ้านเจ้ากรมเสริม ... พอมีโอกาสก็ได้
ถาม ล.พ.ถึงเรื่องราวของคนใข้ดังกล่าว... ล.พ.ฤาษี รับฟังเสร็จก็หลับตาลงไปชั่วอึดใจ ...
พอลืมตาขึ้นมาก็หัวเราะในลำคอและกล่าวขึ้นมาว่า " มันไปนิพพานแบบโง่ ๆ นะ " ...
... อาสมศักดิ์สงสัยจึงถามขึ้นมาว่า " เรื่องราวเป็นยังไงกันครับ " ...
หลวงพ่อก็ตอบมาว่า " เมื่อกี้ตามไปดู ปรากฏว่าเห็นคนใข้นั่งกราบอยู่ต่อหน้าพระพักตร์
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ...แสดงว่าช่วงเวลาภายใน ๗-๘ วันก่อนสิ้นชีวิต เฝ้าดูแต่รูป
พระพุทธองค์และภาวนา พุทโธ ถึงพระองค์ตลอดเวลา จึงทำให้จิตมีพลังขับดันนำพาให้
มาพบกับพระพุทธองค์ ได้ในที่สุด ..."
... เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ได้ว่า...จิตประหวัดก่อนที่จะสิ้นชีวิตมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ...
คิดแต่เรื่องดีๆ ก็จะนำพาไปสู่ภพที่ดีได้ ... หากคิดแต่เรื่องชั่วๆ ย่อมจะนำพาไปสู่ภพที่...
ต่ำต้อยติดธุลีได้ ...
... ส่วนตัวผมได้พบกับ ล.พ.ฤาษีทั้งหมด ๓ ครั้ง ...ด้วยกัน ...
...เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๑ มีดังนี้ ...
... ตอนนั้นเป็นพ.ศ.อะไรนั้นไม่ทราบแน่ชัด [ ลืมนะซี...ก็ปีนี้ ๖๒ เข้าไปแล้ว ] น่าจะไม่น้อย
กว่า ๓๐ ปีขึ้นไป ผมเล่นดนตรีอยู่ที่เชียงใหม่ ได้พาพรรคพวกไปกราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ฯ
ซึ่งได้มาจำวัดอยู่ที่บ้านเจ้ากรมเสริมฯ ...ในวันนั้นผู้คนมากมาย ล.พ.ตอนนั้นยังผอม สูงโปร่งอยู่ ท่านนั่งอยู่องค์เดียวที่สนามหญ้าหน้าบ้านเจ้ากรมเสริมฯ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ ...
แต่พอดีเพื่อนผมชื่อเบิ้ม [ มือกลอง ] มีลูกชายชื่อ...เติ้ล...อยากให้ ล.พ.เป่าหัวให้ลูกชาย ...
จึงรบเร้าผมว่า " ทำยังไงดี? ละ...เอ็กซ์..." ผมทนเพื่อนเซ้าซี้ไม่ได้ก็เลยบอกเบิ้มว่า ...
" เอาเจ้าเติ้ลมานี่ี...เดี๋ยวจัดการเอง ..." พอคว้าตัวเจ้าเติ้ลได้ก็จูงตรงรี่เข้าไปหาล.พ.ฤาษีฯ
ในทันที...
... ในใจ ณ.ขณะนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดกับท่านยังไงดี เพราะพึ่งจะได้มาพบปะ นมัสการท่าน
ก็เป็นวันนี้นะแหละ...กำลังจูงเจ้าเติ้ลไปเพลินๆ แป๊บเดียวเกือบถึงตัว ล.พ.อยู่แล้ว ห่างอยู่ราว
วาเศษๆ ... หลวงพ่อก็ตะโกนออกมาว่า " อ้าว ! มาทำอะไรกัน ... "
... ผมยิ้มหวานทำใจดีสู้หลวงพ่อกล่าวว่า " เจ้าตัวเล็กนี่อยากให้ ล.พ.ลงกระหม่อมให้หน่อย
ครับ " ล.พ.เค้นเสียงกล่าวว่า " อุบ๊ะ ... เจ้านี่ มันตื๊อจริงเว่ย "
...ผมตอบไปอีกว่า " หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ให้ด้วยครับ " พูดไปก็เคลื่อนตัวเข้าไปหา ล.พ.
จนเกือบถึงตัวองค์ท่าน ... ล.พ.บ่นพึมพัมว่า " จนได้นะนี่ " ...
... ผมส่งตัว [ ที่แท้ดันตัวต่างหาก ] เจ้าเติ้ลจนถึงหน้าตักท่านจนได้...ท่านก็เมตตา เป่า ...
กระหม่อมให้เจ้าเติ้ล จนได้ในที่สุด ...เป็นที่ปลาบปลื้มของเจ้าเบิ้มพ่อของมันเป็นยิ่งนัก ...
...แต่ผลที่ตามมาก็คือ บรรดาญาติโยมที่ีมาในงานเมื่อเห็นคณะของผมเข้าไปหา ล.พ.ได้
จึงพากันแห่เข้ามากันเนืองแน่นไปหมด ...
... หลวงพ่อจึงพูดขึ้นมาว่า ...
" เจ้าตัวดี...เป็นยังไงเป็นตัวนำพามาดีนัก ..."
... ผมตอบว่า " งั้นผมขอรางวัลจากหลวงพ่อ...ครับ "
...หลวงพ่อพยักหน้าและกวักมือให้เข้าไปหาท่าน ...ผมรีบเข้าไปกราบถึงตัวท่าน ...ท่านพูดว่า
" ต้องให้รางวัลหนักๆหน่อย " พลางคว้าดินสอที่อยู่ใกล้มือท่านเขกหัวผมมาโป๊กใหญ่ แล้ว
ถามผมว่า " เจ็บไหม? ...เอาอีกไหม ?..." ผมรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกล่าวตอบท่านไปว่า ...
" ไม่เจ็บครับ...หลวงพ่อเคาะหัวผมตามสบายเลยครับ ..."
... ท่านเขกลงไปทั้งหมดนับได้ ๕ ครั้ง แล้วหยุุด ...ถามผมอีกว่า " เอาอีกไหม? "
ผมตอบว่า " แล้วแต่หลวงพ่อพอใจครับ " ท่านเขกต่อมาอีก ๓ ครั้งแล้วก็หยุด ...
แล้วท่านก็พูดมาว่า " เอาพอดีแล้ว "
... ตกลงวันนั้นเท่ากับว่าผมเป็นคนนำพาญาติโยมทั้งหลายเข้าไปหาท่านจนได้ ...
หลังจากวันนั้นมาไม่กี่วันก็ถึงวันหวยออก เลขที่ออก ๒ ตัวก็คือ ๕๓ ...
...เท่ากับที่ ล.พ.ฤาษีเขกหัวผมพอดี ...แต่ประทานโทษ ไม่ได้ซื้อหรอกครับ [ไม่เคยซื้อ ]
...วันนั้นผมไปกันทั้งหมด ๕ คน ผู้ชาย ๓ คน ... เข้าเค้าอีกละ ...
... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๑ ...
... เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๒ มีดังนี้ ...
... ในกาลเวลาต่อมาจากคราวที่แล้ว ผมก็ได้มีโอกาสไปนมัสการ ล.พ.ฤาษี กับ คุณพ่อ
ที่บ้านเจ้ากรมเสริม ซอยสายลม ...ในวันนั้นญาติโยม คับคั่ง เพราะเป็นวันที่ ล.พ.ออกจาก
" สมาบัติ " ... พอถึงคิวของผม [ ต่อจากคุณพ่อ ] ผมได้เห็นใบหน้าที่ผุดผ่องของท่าน...
แต่ที่น่าสังเกตุก็คือ ดวงตาของท่านจะเป็นสีแดงสด...ท่านยิ้มให้ผมและกล่าวคำว่า...
" เจริญพร " ในขณะนั้นผมรู้สึกปิติและตื้นตันใจเป็นยิ่งนัก ... กล่าวคำว่า " สาธุ " ออกมา
เบาๆ ได้ยินคนเดียว ...
... พอออกจากห้องนั้นมาก็เดินออกมาทางด้านนอกของตัวบ้าน [ วันนั้นคนเยอะมาก ]
พอดีเห็นกล้องวงจรที่ติดอยู่ ...เกิดแว๊บขึ้นมาว่า ... เราจะกลับแล้วลองกราบลาท่านตรงทีวี
วงจรนี้ท่านจะเห็นเรามั๊ยหนอ ? ... ว่าแล้วก็ยกมือไหว้ที่หน้าทีวีวงจรนั่นเลยละ...ทันใดนั้น
ในภาพที่ผมเห็นก็คือ ท่านหันหน้ามามองกล้องวงจร ...ยกมือขึ้นและกล่าวว่า ...
" เจริญพรโยม "แล้วท่านก็หันหน้ากลับไปทางเดิม ให้พรญาติโยมต่อไป ...
... ในนาทีนั้นคำว่า " เจโตปริยญาณ " ก็ผุดขึ้นมาในสมองผมในทันที ...
... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๒ ...
... เรื่องราวที่ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๓ มีดังนี้ ...
... ในกาลเวลาต่อมา ก่อน ล.พ.ฤาษี มรณภาพ ๒ เดือน คุณอา สิทธา เชตวัน ...
[ ในตอนนั้นคุณอายังไม่ได้บวช ] ได้ชวนผมไปเที่ยวที่วัดป่าท่าซุง ฯ เพื่อนมัสการ ล.พ.
ฤาษี ... เมื่อไปถึงก็พบเห็นท่านเจ็บที่ข้อเท้า เพราะบวมมาก และร่างกายท่านตอนนั้นก็
อ้วนขึ้นมาก...เวลาท่านเดินเหินจึงไม่ค่อยสะดวกนัก ...ในวันนั้นผมขออนุญาตท่านถ่ายรูป
ซึ่งท่านก็อนุญาต ผมจึงได้ถ่ายรูปท่านด้วยตนเอง ๒ รูป [ หายังไม่เจอเลยจ้า ... ] หลังจาก
นั้นก็นั่งคุยกับท่านอยู่พักใหญ่ มีอยู่ตอนนึง... ผมถามท่านว่า ...
" ต่อไปในอนาคต ผมจะบรรลุสู่ ... อริยบุคคล ขั้นไหนครับ ล.พ. "
ท่านมองหน้าผมแล้วกล่าวว่า " อย่างน้อยก็สกิทาคามีละว่ะ ! "
... พอผมได้ฟังท่านกล่าวอย่างนั้น ให้รู้สึกปลื้มเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังวิจิกิจฉา [ สงสัย ]
คิดในใจว่า... ระดับพระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อ เจอข้อที่ ๑ สักกายทิฏฐิ ยังมึนเลย
นี่ถ้าเราได้ระดับ สกิทาคามี ต้องละสังโยชน์ ๕ ข้อ ไม่ยิ่งหนักข้อ เข้าไปอีกรึนี่ ? ...
แต่คิดไปคิดมา ต้องพยายามเชื่อ ล.พ.ไว้ก่อน จะเป็นต่อกว่า ...พอคิดได้เช่นนั้นจิตใจก็
พลอยสงบลงไปได้อย่างรวดเร็ว ...และนิ่มนวลลง ในที่สุด ...
... จบเหตุการณ์ได้กราบนมัสการ ล.พ.ฤาษี ครั้งที่ ๓ ...
... ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ...
... สวัสดีครับ ...
ล.พ.ฤาษีท่านเป็นพระที่สมถะ ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก ลักษณะจะไปคล้ายๆกับ ล.ป.บุดดา ถาวโร ไม่น้อยก็มากแหละครับ ...
ตอบลบอ่าจบแล้วครับ อาจารย์
ตอบลบ