วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

... สืบเนื่องมาจากวันพ่อ ...








"วันพ่อ ๕ ธันวามหาราช" นี้ ขอโอกาสนำเรื่องราวของพระบรมศาสดา “พ่อผู้ยิ่งใหญ่ของชาวพุทธ” มานำเสนอเรื่องความกตัญญูกตเวที เป็นแบบอย่างให้ชาวพุทธเรากันครับ ...


สมัยหนึ่งพระบรมศาสดาตรัสว่า ...

“ภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษแล ย่อมเป็นคนกตัญญูกตเวที ความเป็นผู้กตัญญูกตเวทีนี้ สัตบุรุษทั้งหลายบัญญัติขึ้นไว้ ความเป็นผู้กตัญญูกตเวทีนี้เป็นภูมิของสัตบุรุษล้วน สัตบุรุษ คือ บุรุษผู้สูงสุด เป็นคนดีที่โลกต้องการ ได้แก่ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล และความประพฤติมีวาจาสัจ มีหิริในใจ เปรียบเหมือนแท่งทองบริสุทธิ์” ...



เสด็จโปรดพระพุทธบิดา ...



ในกาลสมัยพุทธพรรษาที่ ๔ แห่งการตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูผู้รู้แจ้งโลกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพรรษานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับจำพรรษาอยู่ ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ ครั้นหลังออกพรรษาแล้ว พระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดา ซึ่งประทับอยู่ที่กรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระประชวรหนัก ...

พระพุทธองค์ทรงอาศัยที่ทรงสมบูรณ์ด้วยพระกตัญญูกตเวทิตาธรรม จึงเสด็จไปเยี่ยมพระพุทธบิดา พร้อมด้วยพระอานนท์ ,พระนันทเถระ ,พระราหุลและพระสาวกเป็นอันมาก ทรงบำเพ็ญ ปิตุปัฏฐานธรรม ถวายการพยาบาลตามพุทธวิสัย ขณะนั้นพระเจ้าสุทโธทนะได้รับการบีบคั้นจากอาพาธกล้า เกิดทุกขเวทนายิ่งนัก มีพระอาการทุรนทุรายหมดสติ ...

พระผู้มีพระภาค ทรงยกพระหัตถ์ ตั้งพระอธิษฐานจิต บำบัดโรคาพาธ แล้วทรงลูบลงตรงพระเศียรของพระเจ้าสุทโธทนะ ขณะนั้นอาพาธกล้าก็ทุเลาลงด้วยพระบารมี พระนันทเถระเจ้า ยกพระหัตถ์ ลูบที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าสุทโธทนะ อาพาธกล้าข้างขวาก็ทุเลาลง พระอานนท์เถระ ยกพระหัตถ์ลูบพระหัตถ์ที่เบื้องซ้ายของพระเจ้าสุทโธทนะ อาพาธกล้าซีกซ้ายก็เพลาลง พระราหุลทรงยกพระหัตถ์ลูบที่พระปฤษฎางค์ อาพาธกล้าที่พระวรกายก็เบาลง พระเจ้าสุทโธทนะทรงสำราญพระกาย คลายทุกขเวทนาอันสาหัส ทรงลุกขึ้นประทับนั่ง ถวายบังคมพระศาสดาด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่เสด็จมาอนุเคราะห์ ...

พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา “อนิจจตาทิธรรมสูตร” ว่าด้วยสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา โปรดพระพุทธบิดาให้ได้บรรลุพระอรหัตผล จากนั้นพระเจ้าสุทโธทนะทรงพิจารณาเห็นพระชนมายุของพระองค์ใกล้ถึงกาลอวสานสิ้นสุดภพชาติลงเพียงเท่านี้หาได้กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฏวนนี้อีก พระองค์จึงทูลลาพระบรมศาสดาเสด็จนิพพาน และ ลาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งสิ้นแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะก็เสด็จนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน ...

หลังจากนั้นพระพุทธองค์เสด็จประทับที่นิโครธารามเพื่อจัดการพระศพของพระพุทธบิดา ทรงโปรดให้พระมหากัสสปเถระเจ้าพิจารณาสถานที่ และดำเนินการสร้างจิตกาธาน ให้พระสารีบุตรเถระรับภาระในเรื่องน้ำสรงพระศพ เมื่อจิตกาธานเสร็จแล้ว พระพุทธองค์ทรงประคองพระเศียรพระพุทธบิดา แล้วหลั่งน้ำสรงพระเศียร พลางตรัสกับพระสารีบุตรว่า “บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ จงอุตสาหะอภิบาลบำรุงบิดามารดา ประพฤติกุศลสุจริตธรรม จักสมปรารถนาทุกประการ” ...

พระบรมศาสดาทรงเป็นประธานในการจุดเพลิงถวายพระบรมศพ พระมหาปชาบดีโคตมี พร้อมทั้งบรรดาพระประยูรญาติทั้ง๖นคร เข้าเฝ้าถวายพระเพลิงตามลำดับ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม “อนิจจตาทิธรรมสูตร”ซ้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อระงับความเศร้าโศกแห่งมหาชน มีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก ...

พระประยูรญาติทั้งหลายบำเพ็ญทักษิณานุปทาน อุทิศถวายด้วยความกตัญญู พระพุทธองค์ทรงตรัสอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับยังนิโครธาราม 

“ภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษเมื่อเกิดในตระกูล ย่อมเกิดมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมากคือแก่ บิดามารดา แก่ บุตร ภริยา ทาส กรรมกร คนรับใช้ มิตร สหาย สมณพราหมณ์ เปรียบเหมือนฝนห่าใหญ่ ยังข้าวกล้าทั้งปวงให้งอกงาม ชื่อว่าย่อมมีมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก คือแก่ บิดามารดา เป็นต้น ฉันนั้นเหมือนกัน”

ภาพประกอบวาดโดย เอ ท่องถิ่นธรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐ ...

อ่านชีวประวัติปฏิปทาพระสาวก พระสาวิกาสมัยพุทธกาล ได้ที่ลิงค์ ...
https://www.facebook.com/thindham/media_set?set=a.592972097420002.1073741872.100001216522700&type=3


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น